ศาลแพ่งสั่งวัดพระธรรมกาย คืนเงินให้ สหกรณ์ฯคลองจั่น

กทม.1 ก.พ.- ศาลแพ่ง สั่ง “วัดพระธรรมกาย” คืนเงิน 4  บัญชีกว่า 58 ล้าน และยกคำร้องกรณีที่  อัยการขอริบทรัพย์ตกแผ่นดิน แต่ให้สิทธิ “สหกรณ์ฯคลองจั่น”  ร้องขอเงินคืน หลัง อดีตประธานสหกรณ์ฯ ยักยอกอุปถัมภ์ค้ำจุนวัด


ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 1 ก.พ. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา   ศาลอ่านคำพิพากษาคดี ที่พนักงานอัยการ ยื่นคำร้องขอให้ศาล  มีคำสั่งให้เงินในบัญชีเงินฝาก ธ.ธนชาติ จำกัด (มหาชน) จำนวน 25,597,194.91 บาท , เงินในบัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,257,934.88 บาท ชื่อบัญชี “วัดพระธรรมกาย” และเงินในบัญชีเงินฝาก ธ.ธนชาติ จำนวน 1,651,227.42 บาท กับเงินในบัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทย  จำนวน 17,263,081.04 บาท ชื่อบัญชี “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาส”  พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน

โดยคดีนี้ “สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น” ในฐานะ ผู้คัดค้านการยึดทรัพย์ที่ 1 ได้ระบุว่า “นายศุภชัย ศรีศุภอักษร” อดีต ปธ.สหกรณ์ฯ สั่งจ่ายเงิน  ที่เป็นของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งได้มาจากการรับฝากเงิน สะสมหุ้น และดอกผลจากการประกอบธุรกิจของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเงินที่ได้มาโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โดย “สหกรณฯ ผู้คัดค้านที่ 1” เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของนายศุภชัย จึงขอให้เงินฝากในบัญชีดังกล่าว ให้ตกกับสหกรณ์ฯ ผู้คัดค้านที่ 1 


ส่วน “วัดพระธรรมกาย” และ “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ” ในฐานะเจ้าของบัญชี เป็นผู้คัดค้านที่ 2-3 ก็ได้คัดค้านทำนองว่า ไม่เคยทราบหรือเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ กับกิจการของ”สหกรณ์ฯ ผู้คัดค้านที่ 1″ ผู้บริจาค

โดย”นายศุภชัย” อดีต ปธ.สหกรณ์ฯ บริจาคให้ “วัดธรรมกาย” ผู้คัดค้านที่ 2 และ “พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย” โดยสมัครใจ เปิดเผย และไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด ซึ่งผู้คัดค้านที่ 2 รับเงินหรือเช็คจากพระราชภาวนาวิสุทธิ์โดยสุจริต และนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ซึ่งผู้คัดค้านที่ 2 และ”มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ” ผู้คัดคัานที่ 3 ใช้ในการกุศลสาธารณประโยชน์และสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อประโยชน์ทางพุทธศาสนาจนหมดสิ้น ส่วนเงินที่เหลือในบัญชีล้วนเป็นของผู้บริจาคอื่น และไม่เคยร่วมกับนายศุภชัยกับพวกโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาผลประโยชน์หรือกำไรทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากเคารพศรัทธาต่อผู้คัดค้านที่ 2-3 จึงบริจาคทรัพย์สินบำรุงส่งเสริมและจรรโลงพุทธศาสนาเงินในบัญชีจึงเป็นเงินบริจาคที่ได้รับมาโดยสุจริต ขอให้ยกคำร้อง

ทั้งนี้ิ “ศาลแพ่ง” พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า “นายศุภชัย” อดีต ปธ.สหกรณ์  สั่งจ่ายเช็คของสหกรณ์ ฯ ผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 27 ฉบับ รวม 1,458,560,000 บาท เป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องกัน มีลักษณะเป็นปกติธุระ จึงเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยักยอกที่เกิดขึ้นอันเป็นความผิดมูลฐานและเมื่อมีความผิดมูลฐานเกิดขึ้น พนักงานอัยการย่อมมีอำนาจ ยื่นคำร้องขอให้เงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานตกเป็นของแผ่นดิน


โดย “วัดพระธรรมกาย” และ “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ” ผู้คัดค้านที่ 2-3 ยังกระทำการอันมีลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงการรายงานการทำธุรกรรมเป็นระยะเวลาหลายปีหลายครั้ง ส่อแสดงให้เห็นว่ากระทำเพื่อปกปิดลักษณะที่แท้จริงของแหล่งที่มาของเงิน เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเกิดขึ้น ประกอบกับ “พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย”  อดีตเจ้าอาวาสวัด ได้แต่งตั้ง “นายศุภชัย” อดีต ปธ.สหกรณ์ เป็นไวยาวัจกรของ “วัดพระธรรมกกาย” ผู้คัดค้านที่ 2 ด้วย จึงเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2   เกี่ยวข้องกับนายศุภชัย และ “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ” ผู้คัดค้านที่ 3 เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนายศุภชัย ผ่านทางพระราชภาวนาวิสุทธิ์   พฤติการณ์ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลอุปถัมภ์ค้ำจุนกันเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างกัน ที่มีมากกว่าเพียงการศรัทธาของบุคคลทั่วไป อีกทั้ง “วัดพระธรรมกาย” และ “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ” ผู้คัดค้านที่ 2-3 ไม่มีหลักฐานความสำเร็จในการประกอบธุรกิจของ “นายศุภชัย” ที่เป็นรูปธรรมอันจะพิสูจน์ได้ว่า  นายศุภชัย  บริจาคเงินเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับฐานานุรูป จึงฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 -3 รับโอนเงินโดยสุจริตและตามสมควรในทางกุศลสาธารณะ

ส่วนที่อ้างว่านำเงินไปใช้ในการกุศลสาธารณะนั้น “ศาลแพ่ง” เห็นว่าเงินในบัญชีดังกล่าวมีทั้งเงินที่ถูกยักยอก เงินที่ใช้ในการฟอกเงิน และเงินบริจาคจากผู้อื่นปะปนระคนกัน ดังนั้นผู้คัดค้านที่ 2 – 3 จะอ้างไม่ได้ เนื่องจากการใช้เงิน ดังกล่าวเป็นผลมาจากความไม่สุจริตตั้งแต่ต้น การก่อสร้างศาสนสถานและสถานปฏิบัติธรรมที่ใหญ่โตทั้งที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เป็นเหตุให้ต้องมีกิจกรรมระดมเงินให้ได้จำนวนมาก เป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ที่ต้องการตัดวงจรการประกอบอาชญากรรม ด้วยการไม่ให้สามารถนำเงินและทรัพย์สินดังกล่าวมาใช้สนับสนุนการกระทำผิดอื่นได้อีก 

กรณีจึงต้องถือว่าเงิน ที่ยังคงเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝาก 4 บัญชี เป็นทรัพย์สิน  ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด โดย “สหกรณ์ฯ คลองจั่น” ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้เสียหาย  จึงมีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้าน ไม่ให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ซึ่งเป็นการใช้สิทธิคนละส่วนกับคดี ที่ “สหกรณ์ฯ” ผู้คัดค้านที่ 1 ฟ้องเพื่อติดตามเอาคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336

ศาลแพ่ง จึงมีคำพิพากษาว่า ให้เงินในบัญชีเงินฝาก ธ.ธนชาติ จำนวน 25,597,194.91 บาท และบัญชีเงินฝาก ธ.กรุงไทย จำนวน 14,257,934.88 บาท พร้อมดอกผล ในชื่อบัญชี “วัดพระธรรมกกาย” ผู้คัดค้านที่ 2 และบัญชีเงินฝาก ธ.ธนชาติ จำนวน 1,651,227.42 บาท กับบัญชี ธ.กรุงไทย จำนวน 17,263,081.04 บาท พร้อมดอกผล ชื่อบัญชี “มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ” ผู้คัดค้านที่ 3   ให้กับ “สหกรณ์ฯคลองจั่น”   ผู้คัดค้านที่ 1  ส่วนคำร้องของอัยการ ผู้ร้องนั้นให้ยกคำร้อง ทั้งนี้ คำพิพากษานี้ เป็นเพียงศาลชั้นต้น ซึ่งคู่ความ สามารถยื่นอุทธรณ์ ได้ภายใน 30 วัน ตามกฎหมาย -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย

ครม.เคาะเยียวยาผู้เสียชีวิตเหตุชายแดน รายละ 8-10 ล้าน

กรุงเทพฯ 5 ส.ค. – ครม. อนุมัติเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รายละ 8-10 ล้านบาท พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข่าวปลอม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการกระชุม ครม. วาระสำคัญของรัฐบาล “ก้าวผ่านสองวิกฤติ เดินหน้าไปด้วยกัน” โดยระบุว่า รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัวทุกๆ ครอบครัว แม้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะประเมินเป็นมูลค่ามิได้ แต่รัฐบาลจะขอผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อชดเชยความสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และรายได้ของพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิต รวมรายละ 10 ล้านบาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รวมรายละ 8 ล้านบาท พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันข่าวปลอม ที่มุ่งหมายจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงสถานการณ์ที่ไทยเราต้องประสบกับมาตรการภาษีการค้าจากสหรัฐอเมริกา ขอยืนยันว่าได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบและต่อเนื่อง โดยยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ส่วนการที่สหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีการค้าของไทยที่ร้อยละ 19 ทำให้ไทยยังคงมีศักยภาพแข่งขันได้ในเวทีโลก และยังคงความได้เปรียบประเทศคู่แข่งขันในภูมิภาค รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการทางการเงิน ทั้งมาตรการ Soft loan มาตรการพักชำระหนี้ การส่งเสริมให้คนไทยใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และการตั้งงบประมาณเพื่อสนับสนุนและรองรับการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้มแข็งให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง […]