สมาคมนักข่าวฯ 6 ม.ค.-ปริญญาชี้อนาคตการเมืองพล.อ.ประยุทธ์มีสองแนวทางทั้งพรรคการเมืองเสนอชื่อและเป็นนายกฯคนนอก ชัดเจนหลัง 30 เม.ย. ระบุมีความเป็นไปได้ที่สองพรรคใหญ่จะจับมือกันหากคสช.บริหารประเทศต่อไป
นายปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฉบับที่ 53/2560 ว่าด้วยเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายพรรคการเมือง ที่ถูกมองว่าเป็นการรีเซ็ทสมาชิกพรรคการเมือง ว่า จะทำให้สังคมเกิดคำถามตามมา หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ประกาศว่าเป็นนักการเมือง และจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและคสช. เพราะเปรียบเสมือนว่าคสช.มีส่วนได้ส่วยเสียหรือออกคำสั่งเพื่อตัวเองหรือไม่
“สื่อมวลชนคงจะทราบดีว่าพล.อ.ประยุทธ์ต้องการลบภาพของทหารที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่คงจะแยกลำบาก เพราะตราบใดที่ยังสวมหมวกหัวหน้าคสช.ก็เท่ากับว่ายังเป็นทหาร” นายปริญญา กล่าว
นายปริญญา กล่าวถึงเส้นทางการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์กรณีหากตัดสินใจเล่นการเมืองจริง ว่า จะมีทางเลือก 2 แนวทางคือ แนวทางแรกให้พรรคการเมืองเสนอชื่อ เป็นหนึ่งในสามรายชื่อตามรัฐธรรมนูญที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งแนวทางนี้จะชัดเจนหลังจากวันที่ 30 เมษายนเป็นต้นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยจะเห็นว่าจะมีพรรคการเมืองใหม่ตั้งขึ้นหรือไม่อย่างไร ส่วนนวทางที่สองคือการเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ ว่าหากการเลือกนายกรัฐมนตรีจากรายชื่อของพรรคการเมืองครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จ ให้เสนอชื่อคนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
“แต่การจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น แม้จะมีเสียงส.ว.จำนวน 250 คนให้การสนับสนุนแล้ว แต่หากมีเสียงส.ส.สนับสนุน ไม่ถึง 250 คน ก็ถือว่าลำบาก เพราะการเสนอกฎหมายต่าง ๆ เช่น ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ รวมไปถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะต้องใช้เสียงส.ส.เกินครึ่งทั้งสิ้น ดังนั้น หากไม่สามารถดึงพรรคใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่งมาร่วมรัฐบาลได้ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นได้แค่นายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามารถบริหารประเทศได้
“การเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นได้คือ ส.ส. 126 เสียง แต่การจะเป็นรัฐบาลที่อยู่ได้ ต้องมีเสียงครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย ปัญหาคือว่าพรรคใหญ่สองพรรครวมกัน ที่ผ่านมาเขามีเสียงเกินครึ่ง ถ้าดึงพรรคหนึ่งพรรคใดมาร่วมไม่ได้ก็แปลว่าสองพรรคนี้รวมกันต้องไม่ถึงครึ่ง นี่เป็นเหตุผลหรือไม่ จึงต้องเซ็ตซีโร่ส.ส. เก่าคือทั้งหมดถ้าโยงกัน จะมีผลในทางบวกหรือทางลบต่อคสช.โดยตรง” นายปริญญา กล่าว
นายปริญญา กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สองพรรคใหญ่ คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์จะจับมือกัน หากพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือหากคสช.จะอยู่บริหารประเทศต่อไป
ส่วนกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าจะไม่มีปฏิวัติอีก นายปริญญา กล่าวว่า ทุกครั้งหลังการปฏิวัติก็มักจะพูดเช่นนี้ แต่ตามหลักความจริงก็เป็นเรื่องถูกต้อง ที่การปฏิวัติไม่ควรเกิดขึ้นอีก.-สำนักข่าวไทย
