กทม. 2 ม.ค. -อภิสิทธิ์ หวังปี 61 จะเป็นปีที่ประเทศไทยกลับคืนสู่ภาวะปกติ มีการเลือกตั้งได้ปลายปีตามโรดแมป แนะคสช.และกกต.กำกับดูแลการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม พร้อมเตือนส.ว.ใหม่เคารพเจตนารมณ์ประชาชน ไม่เช่นนั้นจะสร้างปมขัดแย้งใหม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองปี 2561 ว่า ในภาพรวมของประเทศทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)และรัฐบาลยังยืนยันที่จะเดินตามโรดแมป คือจะให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปี 2561 แต่ความไม่แน่นอนในขณะนี้เกิดขึ้นจากการที่ไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ จึงเกิดปัญหาว่าจะสามารถปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ได้มากน้อยแค่ไหน และทันกรอบเวลาหรือไม่ จึงคาดว่าในช่วงต้นปี ทางคสช.คงจะมีความชัดเจนในส่วนนี้ และหลังจากนั้นจะชัดเจนขึ้นว่าตารางที่เหลือจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากได้เลือกตั้งก็น่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2561 จึงหวังว่าจะเป็นปีที่ประเทศไทยจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ และสิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม เพราะถ้าไม่ทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม การเมืองที่ดีก็จะเริ่มต้นไม่ได้ และสุดท้ายสิ่งที่คนจะใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินคสช.ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว คือการเมืองหลังเลือกตั้งดีขึ้นหรือไม่ ดังนั้นคสช.ต้องวางบทบาทของตัวเองเป็นผู้ที่กำกับดูแลการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรมร่วมกับกกต. และกลไกที่มีการแต่งตั้งขึ้นมา คือส.ว. จะต้องเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน ไม่เช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งตามมาก และจะทำให้ทุกสิ่งที่ที่พยายามทำมานั้นจะสูญเปล่า
“ผมยืนยันว่าวุฒิสภาควรเคารพการตัดสินใจของประชาชน และควรจะดูว่าในสภาผู้แทนราษฎรนั้นสามารถมีข้อสรุปในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วุฒิสภาสามารถมามีบทบาทได้ แต่ถ้าได้ การไปฝืนเจตนารมณ์ตรงนั้นมีแต่จะสร้างความขัดแย้ง ตอนนี้เราไม่มีทางมองออก จนกว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้น และผมว่าทุกคนคงอยากเห็นการปรับเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สิ่งที่เราเรียกว่าภาวะปกติอย่างราบรื่นที่สุด ผมยังมองไม่ค่อยเห็นว่าจะมีใครอยากให้วุ่นวาย เพราะทุกคนน่าจะช่วยกันประคับประคองกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากกว่า เพราะก็มีความคาดหวังในเรื่องต่างๆ รวมทั้งเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น หากทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่พรรคเป็นห่วงคือการเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาของประเทศหลังจากนี้ เพราะความคาดหวังของประชาชนหลังการเลือกตั้งคือการแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง ขณะเดียวกันยังมีปัญหาที่ยังสะสมในเรื่องโครงสร้างของประเทศที่ยังรอการแก้ไข และหากดูจากรัฐธรรมนูญ และมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมา ยังคงไม่เป็นหลักประกันเพียงพอว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลงอย่างที่คาดหวัง และสิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวนักการเมือง และสังคม จึงไม่อยากให้คาดหวังว่ากฎหมายใหม่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย
“มันเปลี่ยนไปมาก แต่เปลี่ยนในเชิงของการมีกฎระเบียบขั้นตอนที่จะดำเนินการ แต่ไม่สามารถเป็นหลักประกันที่คนอยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงจริงๆ คือจะทำอย่างไรให้การเมืองปลอดจากการทุจริต ทำอย่างไรให้การเมืองไม่มีความขัดแย้งรุนแรง ทำอย่างไรให้การเมืองสามารถแก้ปัญหาทั้งเฉพาะหน้า และสามารถที่จะทำพาประเทศไปในระยะยาวได้ด้วย”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกฎหมายใหม่ ระเบียบใหม่ที่ออกมาจะทำให้การทำงานของพรรคการเมืองและนักการเมืองยากขึ้นหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นธรรมดา เมื่อมีกฎระเบียบมากขึ้น ก็มีความยุ่งยากมากขึ้น แต่ไม่มีอะไรที่จะเป็นอุปสรรคจนแก้ไขไม่ได้ และมั่นใจว่าพรรคการเมืองทำได้อยู่แล้ว และตั้งใจว่าจะทำได้มากกว่าที่กฎหมายกำหนดด้วยซ้ำ ทั้งเรื่องธรรมาภิบาล การมีส่วนร่วม
สำหรับยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลวางไว้จะมีผลต่อการทำงานของพรรคการเมืองอย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เท่าที่ติดตามจะเป็นการวางกรอบยุทธศาสตร์กว้าง ๆ และไม่คิดว่ารัฐบาลจะเขียนอะไรที่ละเอียดจนเกินไป เพราะจะเขียนยาก แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วอะไรที่เป็นความจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ ก็ต้องเดินหน้าไปตามนั้น
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการประเมินว่ากติกาใหม่นี้จะทำให้ไม่มีพรรคการเมืองใดได้คะแนนเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จท่วมท้นว่า ผลการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับประชาชน จะไปประเมินล่วงหน้าไม่ได้ เพราะการวิเคราะห์ในปัจจุบันเป็นการคำนวณจากคะแนนในอดีต เมื่อระบบเปลี่ยน เกณฑ์การตัดสินใจของประชาชนจะเปลี่ยนไป และขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไป ด้วยเทคโนโลยีทำให้กระแสการรับรู้ข่าวสารต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป กระแสสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จะมีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนทั้งสิ้น ดังนั้นใครที่คิดว่าเห็นกติกาแล้วแปลว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างนั้น ตนเห็นว่าคิดผิด และเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว จะต้องดูแนวคิดของพรรคการเมืองในขณะนั้นด้วย ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน
“ขณะนี้ผู้มีอำนาจก็ยืนยันว่าจะเดินตามโรดแมป และนายกฯก็ยืนยันว่าประมาณเดือนพฤศจิกายน ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น จะต้องมีเหตุผล มีคำอธิบาย เพราะเป็นสิ่งที่ทั้งประชาชนชาวไทยและสังคมโลก กำลังติดตามดูตลอดเวลา เราก็หวังว่าจะเป็นปีที่ประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ”.-สำนักข่าวไทย