กรุงเทพฯ 12 ธ.ค.-กรรมการสิทธิฯ เสนอความเห็น สนช.-ครม. แก้ร่างกฎหมายอีอีซี 3 มาตรา หลังพบขาดความมีส่วนร่วม กระทบสิทธิมนุษยชน ขัดรัฐธรรมนูญ
นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงว่า กสม.มีมติเสนอให้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เนื่องจากเห็นว่ายังมีปัญหาในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน และเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ จึงควรมีการปรับปรุงแก้ไขใน 4 ประเด็น โดย 3 ประเด็นเป็นข้อเสนอที่จะส่งให้รัฐสภา และอีก 1 ประเด็นเสนอคณะรัฐมนตรี โดยจะทำหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ 15 ธันวาคมนี้
นายวัส กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอ 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ในชั้นการพิจารณาของรัฐสภาควรจัดให้มีการรับฟังความเห็นของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้มีส่วนได้เสียจากร่างกฎหมายดังกล่าว ในระดับพื้นที่เพิ่มเติม รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักวิชาการและภาคประชาชนเสนอความเห็น ข้อกังวล เป็นรายมาตราอย่างกว้างขวางและทั่วถึงเพื่อประกอบการพิจารณาให้ครบถ้วนรอบด้าน 2.รัฐสภาควรพิจารณาแก้ไขมาตรา 36 ของร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งว่าด้วยเรื่องการเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หากเป็นการเข้าใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น นอกจากที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ควรดำเนินการเท่าที่จำเป็นและต้องดำเนินการด้วยวิธีการเพิกถอนที่ดินบริเวณนั้นจากการเป็นเขตปฏิรูปที่ดินตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย และชดเชยเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม และ 3.แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 37 , มาตรา 43 เพื่อเป็นหลักประกันว่าการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการอนุมัติ อนุญาต หรือการอื่น จะไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพและกระบวนการมีส่วนร่วมที่มีอยู่ในกฎหมายว่าด้วยการนั้น
นายวัส กล่าวอีกว่า ส่วนข้อเสนอที่ 4.เสนอคณะรัฐมนตรีควรกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในภาพรวม และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการจัดทำผังเมืองในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามคำสั่ง คสช.ที่ 2/2560 เรื่องการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ 17 มกราคม 2560 ให้พิจารณาด้วยความระมัดระวัง โดยการดำเนินการต้องไม่กระะทบต่อการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ และพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและสอดคล้องกับหลักการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบสหประชาชาติ หลังปี 2558-2573
นายวัส กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดประชุมรับฟังความเห็น และมีหนังสือสอบถามความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวรวม 7 ครั้ง แต่ช่องทางการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย หรือผู้ที่อาจได้รับผลกระทบตามกฎหมาย มีเพียงการรับฟังผ่านเว็บไซต์ของการนิมคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2560 มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นเพียง 4 คน ทั้ง ๆ ที่ร่างกฎหมายนี้จะต้องใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัด ที่มีประชาชนซึ่งมีความหลากหลายอาชีพอาศัยอยู่จำนวนมาก
“การเปิดรับฟังความเห็นดังกล่าว จึงอาจไม่กว้างขวางเพียงพอ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 43 ดังนั้นเมื่อร่างกฎหมายนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาวาระ 2 ของ สนช. หากนำข้อเสนอแนะของ กสม.ไปพิจารณา จะทำให้เกิดความรอบคอบ เป็นประโยชน์ต่อโครงการพัฒนาของรัฐ สร้างความยั่งยืนปราศจากความขัดแย้งจากทุกภาคส่วน และไม่กระทบต่อกระบวนการออกกฎหมาย เพราะ สนช.มีมติให้มีการขยายระยะเวลาการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ออกไปอีก 60 วัน ทั้งนี้หากนำข้อเสนอแนะไปแล้วไม่มีการปฏิบัติตาม กสม.ก็จะต้องนำข้อมูลออกมาเผยแพร่เพื่อฟ้องประชาชน” นายวัส กล่าว.-สำนักข่าวไทย