ศาล รธน. มติ 6-3 “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้นายกฯ ครม.หลุดทั้งคณะ

ศาล รธน. 29 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ มติ 6-3 “แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เเละ ครม.พ้นจากตำเเหน่งทั้งคณะ ชี้ผิดจริยธรรมร้ายแรง คดีคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน”

ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบ หรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะวิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในตัวในลักษณะ ฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรธรรมนูญวินิจฉัยตารัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย


ในคำวินิจฉัยระบุว่า ในประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์นั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ข้อกล่าวหายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางสาวแพทองธาร สนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ภายหลังการประชุม JBC ฮุนเซนกลับมีการแถลงตอบโต้ และแสดงจุดยืนกดดันประเทศไทย ไม่สอดคล้องกับผลการประชุม JBC ที่มีการตกลงกันไว้ เมื่อนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์พูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ ก็ไม่ได้ปรากฏข้อเท็จจริงที่นายกรัฐมนตรี ตอบรับข้อเสนอการเจรจาดังกล่าว และไม่ได้ก่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงต่อการดำรงตำแหน่งของแม่ทัพภาคที่ 2 หรือการเปิดด่านชายแดน จึงถือว่า ข้อกล่าวหาไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ เพราะผู้ถูกร้องยังยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลความขัดแย้งรุนแรง ไม่ได้เป็นการบ่อนทำลายประเทศ ดังนั้น จึงเป็นการแสดงออกที่ไม่นิ่งเฉยต่อปัญหา พยายามรักษาประโยชน์ประเทศชาติ และความสงบสุขของประเทศ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่เข้าข่ายไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์

ส่วนการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่มี 2 สถานะ ทั้งการเป็นประชาชน ที่มีเสรีภาพในการกระทำภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และสถานะการเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกจำกัดเสรีภาพ โดยเฉพาะความมั่นคงของประเทศ ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศเหนือประโยชน์ส่วนตน รวมถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิประเทศ จึงจะต้องตัดสินใจเพื่อประโยชน์ประเทศ และประชาชน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายกรัฐมนตรี มีการพูดคุยกับฮุนเซน เรื่องเปิด-ปิดชายแดน ซึ่งแม้จะเป็นการสนทนาแบบส่วนตัว แต่มีเนื้อหาสาระสำคัญ เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการขอเปิดด่าน ซึ่งเป็นเรื่องความมั่นคงประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวทั่วไป และไม่ใช่การกระทำส่วนตัว แต่เป็นการกระทำในฐานะนายกรัฐมนตรี


เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่มีการกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ผู้ถูกกล่าวหา และอ้างเป็นการใช้เทคนิคการเจรจาเพื่อแก้ปัญหาออกจากตัวบุคคล เพื่อลดความตึงเครียดนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ถ้อยคำดังกล่าว วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่า เป็นการแสดงความอ่อนแอทางการเมืองในประเทศ และเป็นช่องทางให้กัมพูชา สามารถแทรกแซงกิจการภายในประเทศได้ ซึ่งไม่ว่าจะใช้เทคนิคใด แต่ในเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะต้องปฏิบัติตามกรอบรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ประเทศ และประชาชน ใช้อำนาจด้วยความรอบคอบ เพื่อประโยชน์ประเทศ คำนึงกรอบจริยธรรม ไม่ใช่จะเจรจาอย่างอิสระตามอำเภอใจ ทั้งที่ การเจรจาเรื่องความมั่นคงของประเทศ และการเลือกใช้วิธีการเจรจาเช่นนี้ ยิ่งต้องใช้ความรับผิดชอบ และความรอบคอบ

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังกล่าวถึงถ้อยคำที่นายกรัฐมนตรีแสดงขอความเห็นใจจากฮุนเซน ที่ระบุ “ให้ท่านฮุนเซนเห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทย เขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว อิ๊งค์โดนหนักมากเลย ถ้าจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งค์ได้เลย” ว่า ถ้อยคำดังกล่าว เป็นการขอให้ฮุนเซน เห็นใจนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาชายแดน เพราะถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนเสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน ยังเป็นการขอให้ฮุนเซน เห็นใจนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาชายแดน เพราะถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนเสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน และให้ฮุนเซน เสนอข้อเสนอต่อการเปิดด่านร่วมกัน ทั้งที่สถานการณ์ยังไม่มีทีท่าจะลดระดับความรุนแรง รวมถึงคำเบิกความของนายกรัฐมนตรี ก็ระบุเองว่า ประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านน้อยกว่ากัมพูชา ดังนั้น การเจรจาของนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เปิดด่านจึงเป็นไปตามความประสงค์ของฮุนเซนมากกว่า และเป็นไปเพื่อลดการวิพากษ์วิจารณ์ของนายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังเพียงการทำคะแนนนิยมในประเทศให้ดีขึ้น เพื่อนำไปสู่เสถียรภาพของรัฐบาล โดยไม่ได้คำนึงสถานการณ์ความมั่นคงในขณะนั้น ดังนั้น พฤติกรรมดังกล่าว ทำให้วิญญูชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า นายกรัฐมนตรี จะยินยอมกระทำตามกัมพูชา เพราะรู้จักกับฮุนเซนส่วนตัว และเอื้อประโยชน์กัมพูชา หลังปรากฏคลิปเสียง นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ชุดเล็กในภายหลัง แต่ไม่ได้มีการชี้แจงรายละเอียดคลิปเสียงดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้มีผลลบล้างเจตนาที่แท้จริง ที่ได้กระทำไป ดังนั้น การขอความเห็นใจจากฮุนเซน ไม่ใช่เทคนิคการเจรจา แต่เป็นการขาดความรอบคอบ ไม่ระมัดระวัง ทั้งที่ความเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องระมัดระวัง ไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ เมื่อนายกรัฐมนตรี มีประโยชน์ส่วนตัว ทั้งคะแนนนิยม และ เสถียรภาพรัฐบาล ทำให้ไม่คำนึงผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง ทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมินายกรัฐมนตรี และประเทศไทย ทำให้ประชาชนชาวไทย ได้รับความเสียหายจากผู้นำของประเทศ อันมีลักษณะไม่รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิ และรักษาผลประโยชน์ประเทศ ถือประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประเทศ เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างร้ายแรง

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยังระบุว่า แม้นายกรัฐมนตรี จะระบุเป็นการเจรจาส่วนตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง แต่การกระทำดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกรัฐมนตรี ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า นายกรัฐมนตรีจะเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชาหรือไม่ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ต่อการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ยึดความถูกต้องชอบธรรม ดังนั้น จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติ


ส่วนข้อกล่าวหาอื่น ๆ นั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ไม่ต้องวินิจฉัย เพราะไม่ได้มีผลทำให้คดีเปลี่ยนไป ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร จึงสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ และคณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ให้อยู่รักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้ว มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) เสียงข้างข้างมากคือ นายปัญญา อุดชาชน ,นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน ,นายจิรนิติ หะวานนท์ ,นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)

โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 เสียง คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5)

และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 เสียง คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายอุดม รัฐอมฤต เห็นว่า ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ทั้งนี้ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 1 กรกฎาคม 2568

ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 3 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนกดล เทพพิทักษ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไม่ร้ายแรง ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)

เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) แล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะต้องพันจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป

ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้คู่กรณีคัดถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยได้เมื่อพ้นกำหนด 15 วัน นับแต่วันอ่าน.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย

กทม. 18 ก.ย.-เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย คาดไฟฟ้าลัดวงจรและลุกลามไปยังห้องข้างเคียง ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรง เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุห้องอาหาร 50 จากตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้ามีเพลิงไหม้ (ไฟฟ้าลัดวงจร) และลุกลามไปยังพื้นที่ข้างเคียงตึกกองบัญชา บกทท. บริเวณชั้น6 ข้างห้อง เสธนาธิการทหาร เจ้าหน้าที่เวรยาม และสารวัตรทหาร ได้ช่วยกันใช้ถังดับเพลิงในการดับเพลิงแต่ไม่สามารถเข้าถึงต้นเพลิงในการระงับดับไฟได้ จึงได้ประสานรถตับเพลิงและขอส่วนสนับสนุนรถดับเพลิง นทพ. มาช่วยในการระดับดับเพลิง โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบและดำเนินการระงับเหตุในทันที เบื้องต้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ทั้งนี้ ยังไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างอาคารแต่อย่างใด กองบัญชาการกองทัพไทย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนและสื่อมวลชนรับทราบต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ

กทม. 18 ก.ย.-โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ ขณะ “นายกฯ หนู” ยังนั่งดินเนอร์อาหารอีสานอย่างสบายใจ ท่ามกลางข่าวลือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 ก.ย. มีกระแสข่าวลือว่ากระบวนการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีปัญหา ถูกตีกลับ เนื่องจากพบรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีบางคน ติดปัญหาคุณสมบัตินั้น ล่าสุด แหล่งข่าว ยืนยันว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรี ที่นำทูลเกล้าฯไปนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่ย่างใด ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยเรื่องคุณสมบัติ ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วง ค่ำวันนี้ (17 ก.ย.) ปรากฏภาพ นายอนุทิน นั่งรับประทานอาหารอีสานอย่างสบายใจ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งกับคนใกล้ชิด ท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้น.-319.-สำนักข่าวไทย

“รังสิมันต์” เบรกกัมพูชากลางวง AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนปมเปิดด่าน

มาเลเซีย 17 ก.ย.- “รังสิมันต์” เบรกกัมพูชา กลางวงประชุม AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนประเด็นขัดแย้งไทย-กัมพูชา หารือปมเปิดด่าน หวั่นเป็นประเด็นการเมือง-ละเอียดอ่อน ชี้ มีกระบวนการ IOT และ GBC อยู่แล้ว นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยในการประชุมคณะกรรมการบริหาร AIPA กล่าวถึงข้อเสนอของกัมพูชาผ่านเวที AIPA ว่าเป็นการเสนอในระยะเวลากระชั้นชิดเป็นช่วงสุดท้าย ที่เปิดให้ประเทศสมาชิกเสนอวาระเร่งด่วนได้ ดังนั้นทีมไทยแลนด์ที่นำโดยนายฉลาด ขามช่วง เมื่อทราบ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาจึงได้เตรียมการในเรื่องนี้ ซึ่งจากเดิมได้เรียกร้อง 2 ข้อ คือ 1. เรื่องเฉลยศึก ที่ทหารกัมพูชาถูกควบคุมตัว ในช่วงเวลาที่มีการปะทะ และ 2. เรื่องการเปิดด่านชายแดน แต่ท้ายที่สุดทางกัมพูชากลับเรียกร้องบนเวที AIPA เพียงเรื่องการเปิดด่านชายแดนเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงหยิบยกมาเพียงเรื่องนี้ ในเมื่อกระบวนการของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ผ่านไป และค่อนข้างราบรื่น ดังนั้นการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยอีกครั้ง จากการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี ระหว่างไทย และ […]

แม่ใจสลาย รับร่างลูกสาววัย 2 เดือนถูกพิตบูลขย้ำ ส่งชันสูตร

อุทัยธานี 17 ก.ย. – ครอบครัวเศร้า ติดต่อรับร่างลูกสาววัย 2 เดือน ส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังถูกสุนัขพิตบูลลากไปขย้ำหัว ขณะแม่ไปเก็บของเก่าภายในโรงสี เจ้าของคาดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของเล่น นายฉัตรมงคล สุวรรณเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยมารดาของ ด.ญ.กัญญาภัทร อายุเพียง 2 เดือน ผู้เสียชีวิตจากการถูกสุนัขพันธุ์พิตบูลกัด รวมถึงญาติ เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองฉาง จ.อุทัยธานี ก่อนนำร่างส่งชันสูตร หาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วานนี้ (16 ก.ย.) ที่โรงรถของบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ หมู่ 15 บ้านโรงสีใหม่ ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบร่างเด็กน้อย อยู่บริเวณรางระบายน้ำ เจ้าของบ้านนำร่างเด็ก ส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่เกิดเหตุ ยังพบคราบเลือดและร่องรอยลากยาวราว 6 เมตร ไปถึงรางระบายน้ำ นอกจากนี้ ยังพบรถเข็นเด็ก พร้อมของเล่น […]

ข่าวแนะนำ

“อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูเชิญถกอาเซียน ยันไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยได้

พรรคภูมิใจไทย 19 ก.ย.- “อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูหาเชิญร่วมประชุมอาเซียน ยันไม่มีใครเคลียร์-แทรกแซงรัฐบาลได้ หลัง “ฮุน มาเนต” ขอมาเลเซียเป็นตัวกลาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยว่าได้โทรศัพท์พูดคุยเป็นการส่วนตัว โดยนายอนุทิน ยอมรับว่า เมื่อวานนายอันวาร์ได้โทรมาหา พูดคุยถึงการเชื้อเชิญว่า ถ้าหากตนได้รับตำแหน่งเรียบร้อยแล้วคงจะได้พบกันโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วงเดือนหน้า ส่วนการพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนจังหวัดสระแก้ว นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ได้มีการพูดคุยในรายละเอียด อีกทั้งตนยังไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เนื่องจากยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ก็ยังคงมีรัฐบาลรักษาการ เราให้เกียรติกัน “ผมรับตำแหน่งได้ ก็ต่อเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อน ส่วนเรื่องนโยบาย ข้อสั่งการ ต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้เราก็ยังรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้ให้มากที่สุด” นายอนุทิน กล่าว ส่วนกรณีที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ร้องขอไปยังนายอันวาร์ เพื่อให้เข้ามาแทรกแซงการเจรจานั้น นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยและอธิปไตยของไทยได้ ส่วนเรื่องการพูดคุย นายอนุทิน ย้ำว่า เราสามารถทำได้ เพราะเป็นคนที่คุ้นเคยรู้จักกัน […]

“อนุทิน” กินข้าว “อภิสิทธิ์” ขอคำแนะนำอดีตนายกฯ

กทม. 19 ก.ย.- “อนุทิน” โพสต์ภาพร่วมโต๊ะกินมื้อกลางวันคู่กับ “อภิสิทธิ์” บอกขอคำแนะนำอดีตนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพรับประทานอาหารกลางวันคู่กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นการส่วนตัว พร้อมระบุข้อความว่า “ได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์และคุณค่ามากมายจากท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ให้เกียรติมาให้กำลังใจและทานอาหารกลางวันด้วยกันในวันนี้ ขอบพระคุณท่านมากครับ” ทั้งนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวแรกของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายอนุทิน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีอีกกระแสข่าว ที่เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ กลับไปเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ -สำนักข่าวไทย

รวบยกแก๊ง 4 ชาวอังกฤษขับรถชิงทรัพย์ชาวอเมริกัน

ภูเก็ต 19 ก.ย. – วานนี้มีเหตุอุกอาจกลางเมืองภูเก็ต กลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายก่อนลงไปชิงนาฬิกาหรู มูลค่ากว่า 2 ล้าน เช้านี้ตำรวจรวบผู้ก่อเหตุได้ครบ เชื่อวางแผนทำกันเป็นขบวนการ.-สำนักข่าวไทย

ไทยยึดหลักสากล จัดการปมบ้านหนองหญ้าแก้ว

กระทรวงการต่างประเทศ 19 ก.ย.- “อนุทิน” แจงประธานอาเชียน เหตุบ้านหนองหญ้าแก้ว ไทยยืนยันยึดหลักสากล จัดการปัญหา กัมพูชาขัดข้อตกลงหยุดยิง ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ไร้มนุษยธรรม ไม่สร้างสรรค์ บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมเรียกร้องกัมพูชาแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่มีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางของฝ่ายไทย และมีการปะทะจนมีเจ้าหน้าที่ไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายไทยหลายมาตรา โดยย้ำว่าที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดทุกประการมาโดยตลอด ข้อตกลงนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะปูทางไปสู่สันติภาพ แม้สถานการณ์สงบลง แต่กัมพูชายังยั่วยุในรูปแบบต่างๆ ซึ่งขัดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมย้ำว่าการวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคง เป็นการดำเนินการในอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอดกลั่น และใช้เวลาชี้แจงกับประชาชนกัมพูชา แต่ไม่เป็นผล ที่สุดเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของไทยต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล ตามหลักมนุษยชนการปลุกระดมให้ประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ ไร้มนุษยธรรม ขาดความรับผิดชอบ ไม่สร้างสรรค์ และไม่ยึดถือประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศให้คำมั่นหยุดยิงไปแล้ว แต่กัมพูชาเลือกเส้นทางจากต่างไทยโดยสิ้นเชิง ไทยมุ่งมั่นแสวงหาสันติภาพ ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่แสวงหาความรุนแรง การวางรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย เป็นไปเพื่อป้องกันการปะทะ และเพื่อสร้างความปลอดภัยของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และเหตุความรุนแรงอาจนำไปสู่การสูญเสีย […]