สำนักงานป.ป.ช. นนทบุรี 21 พ.ย.- อดีต ป.ป.ช. หนุนกำหนดกรอบเวลาทำงานป้องกันคดีคั่งค้าง มั่นใจแต่ละคดีเสร็จได้ภายในเวลากำหนด แม้แต่คดีจำนำข้าวคดีใหญ่ยังเสร็จได้ภายใน 1 ปี พร้อมแนะปรับบทบาททำงานเชิงรุกป้องปราบการทุจริต
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และอดีตประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดระยะเวลาในการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. ว่า การกำหนดเวลาการทำงานถือเป็นเรื่องดี เพื่อให้คดีเดินหน้าโดยไม่คั่งค้าง แต่ต้องดูรายละเอียด เพราะแต่ละคดีมีข้อมูลแตกต่างกัน ฉะนั้นหากคดีใดไม่เสร็จ ก็ควรขยายเวลาการทำงานได้
ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และอดีตกรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า การกำหนดกรอบเวลาการทำงานที่ให้ป.ป.ช.ทำคดีให้เสร็จภายใน 1 ปี หากไม่เสร็จก็สามารถขยายเวลาออกไปได้ภายใน 2 ปี แต่หากเป็นคดีต่างประเทศ ก็สามารถขยายเวลาได้ตามลักษณะคดี ถือเป็นการกำหนดกรอบที่อยู่ในวิสัยที่สามารถทำงานได้ ซึ่งในสมัยที่ตนเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ยังใช้เวลาเพียง 1 ปี ในการทำคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งถือเป็นคดีใหญ่ที่มีหลักฐานและพยานจำนวนมาก
นายวิชา กล่าวว่า ตามร่างพ.ร.ป.ป.ป.ช.ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ ป.ป.ช. ให้เอื้อในการทำคดีได้เร็วขึ้น โดยเปลี่ยนจากการใช้อนุกรรมการในการไต่สวน ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะนัดประชุม มาเป็นให้เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.สามารถทำหน้าที่เป็นพนักงานไต่สวนเองได้ จะทำให้การทำงานมีความรวดเร็วและคล่องตัวมากขึ้น และตามร่างกฎหมายใหม่เท่ากับเป็นการยกระดับเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานไต่สวนเทียบเท่าอัยการ ซึ่งมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะสามารถทำงานได้ เพราะจะต้องเป็นเนติบัญฑิตมาก่อน อีกทั้งจะต้องทำให้ประชาชนพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมให้ข้อมูล ขณะเดียวกันเห็นว่า ป.ป.ช.จะต้องปรับบทบาทการทำงานเป็นเชิงรุกไม่ใช่รอเรื่องร้องเรียนอย่างเดียว แต่จะต้องทำงานเชิงป้องปราม เช่น เข้าไปสุ่มตรวจการประมูลงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นได้ระมัดระวังไม่ให้เกิดการทุจริตเกิดขึ้น.-สำนักข่าวไทย