กรุงเทพฯ 14 พ.ย. –บมจ. พีทีที
โกลบอล เคมิคอล(
PTTGC)
ปรับตัวสร้างมูลค่าเพิ่มเดินหน้าโครงการวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
(High Value Product : HVP)
จับมือร่วมกับผู้ใช้ คาดจะสร้างรายได้ HVP ได้สูงเป็นสัดส่วน
ร้อยละ 50 ใน 5-10 ปีข้างหน้า ส่วนโครงการปิโตรเคมีสหรัฐแนวโน้มประกาศผู้ร่วมทุนรายใหม่สิ้นปีนี้
นายสุพัฒนพงษ์
พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO)พีทีทีจีซี กล่าวว่า
บริษัทได้มีการปรับการดำเนินการโดยให้ความสำคัญกับโครงการ HVP ตั้งเป้าหมายจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10
เป็นร้อยละ 50 ใน 5-10 ปีข้างหน้า
โดยเดินหน้ากลยุทธ์ร่วมกับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก
จัดตั้ง CSC – Customer
Solution Center เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
โดยการส่งเสริม
สนับสนุนและเป็นสื่อกลางในการพัฒนาและดำเนินธุรกิจให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมพลาสติกเติบโต
สามารถแข่งขันได้ ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่ม Start up
ขณะนี้ได้ร่วมมือกับหลายหน่วนงาน เช่น
บีเจซี ,สหพัฒน์ ,บริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU
ทั้งพลาสติกที่ทำมาจาก
ปิโตรเคมี (Petroleum-based)
และเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม (Bio-based),มีร่วมมือวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ การแพทย์ ระหว่างคณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อต่อยอดการพัฒนาอุปกรณ์ พลาสติกทางการแพทย์ ทำให้เกิดความช่วยเหลือ
และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเครื่องมือ และ
อุปกรณ์การแพทย์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในขณะเดียวกันเดินหน้า โครงการขยายตลาดใน CLMV ปีนี้มียอดขายสูงกว่า 1.25 แสนตัน และปีหน้าจะมียอดขาย
2.5 แสนตัน/ปีจากกำลังผลิตเม็ดพลาสติกรวม 1.9 ล้านตัน
ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุน
ปิโตรเคมีในสหรัฐว่า ในขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาผู้ร่วมทุนรายใหม่
คาดว่าจะประกาศได้เร็วสุดในปลายปี 2560 นี้ โดยยอมรับว่า มีแนวโน้มที่
“มารูเบนิ”จากญี่ปุ่น อาจจะไม่ได้ร่วมลงทุนด้วย เพราะเป้าหมายของ มารูเบนินั้น
ต้องการนำผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายมากกว่า อย่างไรก็ตาม
ไม่มีปัญหาเรื่องการจำหน่ายเพราะผู้ร่วมทุนก็เป็นผู้ประกอบการที่มีตลาดในสหรัฐอยู่แล้ว
ส่วน โครงการ อื่นๆ ก็ยังเดินหน้าตามแผนลงทุน 5 ปีข้างหน้า 1.8 แสนล้านบาท
โดยประมาณ 1.35 แสนล้านบาทเป็นการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ
อีอีซี เช่น โครงการมาบตาพุดเรโทรฟิต ที่จะประกาศการลงทุนที่ชัดเจนในสิ้นปีนี้
เพื่อผลิตเชิงพาณิชย์ปี 2563 มีการผลิตเอทิลีน 5 แสนตัน/ปี โพรไพลีน 2.5 แสนตัน/ปี
โครงการ PO/Polyol เป็นการลงทุนโพลียูรีเทนครบวงจร มูลค่า 888 ล้านดอลลาณ์สหรัฐ
เริ่มก่อสร้างปี 2560 ผลิตเชิงพาณิชย์ ปี 2563
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3/2560 PTTGCมีรายได้จากการขายรวม 104,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2559 ร้อยละ 14 มีกำไรสุทธิรวม 9,955 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.23 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากไตรมาส 3/2559
ที่มีผลกำไรรวมสุทธิอยู่ที่ 6,226 ล้านบาท คิดเป็น 1.40 บาท/หุ้น
และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2560 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,603 ล้านบาทหรือคิดเป็น
1.48 บาท/หุ้น โดยมีผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2560
มีกำไรสุทธิรวม 29,740 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 88
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรกปี
2560 PTTGC รับรู้กำไรจากการดำเนินโครงการ MAX จำนวน 2,010 ล้านบาท
ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กรที่ได้เริ่มดำเนินการมาในช่วงปลายปีที่แล้ว
รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นใน 6 บริษัทในสายธุรกิจปิโตรเคมี
สายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง จากบริษัท ปตท.
จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จสิ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2560
ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 1,518 ล้านบาท
และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 29,740 ล้านบาท
ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 88 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ในปีหน้าคาดราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 50-60
ดอลลาร์/บาร์เรล สูงกว่าราคาเฉลี่ยปีนี้ที่เฉลี่ยประมาณ 51 ดอลลาร์/บาร์เรล ประกอบกับโครงการ
mLLDPE กำลังผลิต
400,000 ตันต่อปี จะแล้วเสร็จ ไตรมาส 1/2561 ก็คาดว่ารายได้ปีหน้าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ
7.5 จากปีนี้ที่ 4.5 แสนล้านบาทก็เพิ่มเป็น ไม่ต่ำกว่า 4.8 แสนล้านบาท”นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว-สำนักข่าวไทย