กทม.12 ต.ค.- ศาลไม่ให้ประกันแก๊งแอบอ้างเจ้าแห่งรัฐมอญ 6 คนร่วมกันหลอกนักธุรกิจร่วมลงทุนใน 78 โครงการที่อุปโลกน์ขึ้นมาสร้างความเสียหายนับร้อยล้านบาท ส่งตัวเข้าเรือนจำ
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ นำตัวนางสุภัตทา จันทรรังษี พร้อมนายวิชัย พริ้งจำรัส หรือเจ้าเทพประสันติ มหาทุน, นายธนจักษ์ หรือสุพิช กลม, นางสาวปิยะวรรณ หรือพรพนา อุดหนุน, นายปริชาติ เพ็งผ่าน, นางชลัยภัสร์ โพธิอัครานนท์ ผู้ต้องหาที่ 1-6 คดีฉ้อโกงประชาชน มาฝากขังศาลผัดแรก ทั้งหมดให้การปฏิเสธ
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์ระหว่าง 10 ม.ค. 2559 – 4 ต.ค. 2560 นางสุภัตทา ซึ่งเป็นกรรมการ บริษัท ฮัจยี กรุ๊ป จำกัด และนายกู มิน อู หรือฯพณฯเจ้าเทพโยทินมหาทุน,นายวิชัย,นายธนจักษ์,นางสาวปิยะวรรณ และนางชลัยภัสร์ ผู้ต้องหากับพวกที่ยังหลบหนี แบ่งหน้าที่กันทำและเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในเรื่องการเป็นกษัตริย์แห่งรัฐมอญของพณฯเจ้าเทพโยทินมหาทุน และมีบุตรบุญธรรมชื่อเจ้าเทพประสันติ มหาทุน เป็นรัชทายาทรัฐมอญ รวมทั้งสร้างเรื่องเท็จว่า มีการร่วมกิจการไทย-มอญ ระหว่างบริษัท ฮัจยี กรุ๊ป จำกัดกับบริษัท ทิ พยู ไพล์ จำกัด ของนายกอว มินต์ อู ว่ากิจการดังกล่าวได้รับอนุมัติโครงการขนาดใหญ่จากรัฐบาลเมียนมาร์ จำนวน 78 โครงการเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนและพวก นำไปใช้หลอกลวงนักธุรกิจและ ประชาชนทั่วไป ให้หลงเชื่อจนสูญเสียเงินในการเข้าร่วมลงทุนจำนวนมาก โดยมีการนำข้อมูลเท็จดังกล่าวเข้าสู่เพจเฟซบุ๊กและไลน์กลุ่ม ชื่อ “สามัคคี คือพลัง” ที่สร้างขึ้นรวมทั้งมีการนำข้อมูลเท็จลงในสื่อออนไลน์ของหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์ ที่มีนายโกสินธ์ จินาอ่อนเป็นบรรณาธิการบริหาร โดยมีนางสุภัตทา และฯพณฯเจ้าเทพโยทินมหาทุน ทำหน้าที่สร้างข้อมูลเท็จให้มีความน่าเชื่อถือ โดยมีการดำเนินกิจกรรมต่างๆให้ประชาชนทั่วไปเชื่อถือ ว่านายกอว มินต์ อู เป็นกษัตริย์รัฐมอญจริง และมีการแอบอ้างใช้ชื่อแทนตัวเองว่าพณฯเจ้าเทพโยทินมหาทุน นอกจากนี้ยังมีการนำนักธุรกิจไปดูพื้นที่ ที่อ้างว่าเป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติจากสหภาพเมียนมาร์ เพื่อเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการจากนักธุรกิจ รวมทั้งมีการจัดแถลงข่าวให้ข้อมูลเท็จต่อสื่อมวลชนทั้งที่จริงแล้วโครงการก่อสร้างต่างๆ ไม่มีอยู่จริง โดยผู้ต้องหามีการกล่าวอ้างถึงเอกสารที่มีตราสีทองประทับอยู่โดยบอกว่าเป็นตราอนุญาตโครงการจากรัฐบาลกลางเมียนมาร์ ซึ่งพยานหลายรายยืนยันว่าเอกสารดังกล่าวไม่เป็นความจริง การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหากับพวกที่หลบหนี้ทำให้ได้รับเงินสดและทรัพย์สินจากผู้เสียหายหลายราย นับ100ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย และแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานร่วมกันทุจริตหรือหลอกลวง โดยเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช้การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือส่งต่อ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลอันเท็จตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา14 (1) (5) และข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343,341 ประกอบมาตรา 83 ,91 เหตุเกิด ทั่วราชอาณาจักรไทยและนอกราชอาณาจักรไทย ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนยังระบุว่าได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไว้ จะครบ 48 ชั่วโมงแล้ว และการสอบสวนยังไม่เสร็จ จะต้องสอบปากคำพยานบุคคลเพื่อขยายผลเครือข่ายผู้กระทำผิดอีก20 ปาก และผู้เสียหาย รวมทั้งรอผลตรวจสอบข้อมูลการเงินและแหล่งที่มาของเงินฝาก รอผลตรวจประวัติจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รอผลพิสูจน์หลักฐานและอื่นๆ จึงขออำนาจศาลฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 6-17 ต.ค.นี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหามีเจตนาเดินทางออกไปต่างประเทศ เกรงว่าจะหลบหนี การกระทำความผิดมีลักษณะเป็นกระบวนการ เป็นเครือข่ายมีการติดต่อกับบุคคลในต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี เชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐานก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนและคดีมีอัตราโทษสูงจำคุกถึง 5 ปี และมูลค่าความเสียหายนับ 100 ล้านบาท
ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ต่อมาญาติ ของนายปริชาติ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ขอปล่อยตัวชั่วคราว ล่าสุดศาลพิเคราะห์แล้วคดีนี้ผู้ต้องหาคือ นายปริชาติ ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันหลอกลวงประชาชน มูลค่าความเสียหายนับ 100 ล้านบาท หากผู้ต้องหาจะยื่นข้อประกันตัวจะต้องนำหลักทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท มาเสนอต่อศาล ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ยกคำร้องต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวผู้ต้องหาชายหญิงทั้ง 6 ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯและทัณฑสถานหญิงกลาง.-สำนักข่าวไทย