สมุย 8 ก.ย. – รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ยืนยันมีมาตรการป้องกันผู้ใช้บัตรสวัสดิการซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐ ย้ำสุราและยาสูบไม่อยู่ใน 3 กลุ่มสินค้าเป้าหมาย เตือนร้านค้าห้ามขายสินค้าผิดประเภทอาจถูกถอนสิทธิ์ได้
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงข้อกังวลการใช้เงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อสินค้าผิดวัตถุประสงค์ในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจัดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าประชารัฐผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการดูแลไว้แล้ว โดยจะให้มีการติดสติกเกอร์ในตัวสินค้าและจะนำระบบบาร์โค้ดหรือคิวอาร์โค้ดของตัวสินค้าแต่ละชนิดที่เข้าร่วมโครงการ หากร้านค้าใดมีความพร้อมก็จะให้ใช้ระบบนี้ทันที และยังให้ร้านค้าจัดมุมแยกออกจากสินค้าปกติในร้านและให้ปิดป้ายแสดงทั้งรายการและราคาสินค้าต่อหน่วยไว้ในที่ชัดเจน 3 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช กลุ่มสินค้าอุปกรณ์การศึกษา เช่น เครื่องแบบนักเรียน กลุ่มสินค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี คาดว่าจะมีกว่า 100 รายการสินค้าที่เข้าร่วมโครงการนี้
ทั้งนี้ ไม่สามารถซื้อสินค้ากลุ่มสุราและยาสูบตามโครงการบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่สำคัญการนำบัตรสวัสดิการรัฐแต่ละคนที่เข้ามาซื้อสินค้ายังจะสามารถตรวจเช็คว่าซื้อสินค้าประเภทใดและอยู่ในรายการสินค้าที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งจะป้องกันปัญหาเลือกซื้อสินค้าผิดประเภทด้วยเช่นกัน และยังกำชับให้พาณิชย์จังหวัดออกตรวจสอบร้านค้าแบบไม่มีการแจ้งล่วงหน้า เพื่อดูว่ามีการจำหน่ายสินค้าตามที่ตกลงไว้กับกระทรวงพาณิชย์หรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่ตกลงร้านค้าดังกล่าวจะถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐทันที จึงมั่นใจว่าจะดูแลการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคให้เป็นไปตามที่ส่วนราชการกำหนดและเช่นกันจะพยายามให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการนำไปใช้อย่างถูกต้องและซื้อสินค้าไม่ผิดประเภทที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้หน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งสร้างความรู้และความเข้าใจร้านค้าปลีกต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยกำหนดให้มีร้านค้าธงฟ้าประชารัฐกระจายลงสู่ชุมชน ทั้งในพื้นที่ชนบทและชุมชนเมืองอย่างน้อยตำบลละ 1 ร้านค้า มากน้อยตามความหนาแน่นของผู้ลงทะเบียน ซึ่งมีร้านค้ากระจายทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 20,000 ร้านค้าที่อยู่ในเครือข่ายร้านค้าชุมชน ร้านค้าสหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน วิสาหกิจชุมชน การเคหะ ฯลฯ เข้าร่วมโครงการฯ โดยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับการติดตั้งเครื่องรูดบัตรฟรี การซื้อขายสินค้าให้ชำระเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ราชการออกให้ โดยรัฐบาลจะชำระเงินค่าสินค้าแทนผู้ถือบัตรให้แก่ร้านค้าเป็นรายวันและจะโอนเงินเข้าบัญชีภายใน 3 วัน คาดว่าเมื่อมีการดำเนินการเต็มรูปแบบร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจะสามารถให้บริการผู้ถือบัตรได้อย่างทั่วถึงและครบถ้วน
ทั้งนี้ จากการหารือเอกชนผู้ผลิตสินค้า 11 ราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐ 5 รายเดิม ได้แก่ สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้ง 5 รายเดิมส่งสินค้าเข้าโครงการ 18 สินค้า 48 รายการ จำหน่ายราคาต่ำกว่าปกติร้อยละ 15-20 และอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มอีกหลายรายการสินค้า ขณะที่เอกชนที่เหลือ เช่น บริษัท กรีนสปอต บริษัท ไอ.พี.เทรดดิ้ง บริษัท ดัชมิลล์ โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย บริษัทฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) บริษัทน้ำมันพืชปทุม สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทยและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา สนใจเข้าโครงการฯ นี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งภายในสัปดาห์หน้าภาคเอกชนจะเสนอรายการสินค้าต่าง ๆ ที่จะเข้าร่วมโครงการให้กระทรวงพาณิชย์ทราบเบื้องต้น คาดว่าช่วงแรกจะมีสินค้ามากกว่า 60-70 รายการ จากเป้าหมายกว่า 100 รายการ และกระทรวงพาณิชย์จะทำการประชาสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ ให้ประชาชนรับทราบพร้อมทั้งจะให้ทางร้านติดป้ายของรายการสินค้าที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่จะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2560 มีเป้าหมายจัดหาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ 20,000 แห่งภายในสิ้นปีนี้ และเท่าที่ได้รับรายงานความคืบหน้าตั้งแต่วันที่ 3 – 6 กันยายน 2560 มีร้านค้าทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการฯ 4,506 แห่ง ซึ่งจังหวัดที่มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการฯ มาก ได้แก่ อุดรธานี 315 แห่ง อุบลราชธานี 155 แห่ง ลำพูน 149 แห่ง พิษณุโลก 123 แห่ง ร้อยเอ็ด 112 แห่ง บุรีรัมย์ 110 แห่ง สุโขทัย 108 แห่ง สุรินทร์ 107 แห่ง นครสวรรค์ 103 แห่ง และสกลนคร 103 แห่ง ส่วนจังหวัดอื่น ๆ อยู่ระหว่างเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการดังกล่าวอีกจำนวนมาก.-สำนักข่าวไทย