พาณิชย์คลอดยุทธศาสตร์ธุรกิจบริการไทย

นนทบุรี 5 ก.ย. – พาณิชย์คลอดยุทธศาสตร์ธุรกิจบริการไทยฉบับแรก หวังผลักดันไทยเป็นฮับธุรกิจบริการของอาเซียน เตรียมเปิดบริการ Startup complex เร็ว ๆ นี้ 


นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบใหม่ไปสู่ภาคบริการมากขึ้นตามแนวทางประเทศไทย 4.0 จึงกำหนดยุทธศาสตร์ธุรกิจบริการไทย โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจบริการอาเซียน เพิ่มรายได้ของภาคบริการ และส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจบริการระดับท้องถิ่นมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจบริการถือเป็นรายได้สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การสร้างนักรบธุรกิจบริการสู่ภูมิภาค (Service 4.0 Warrior) การต่อยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation-based Services) การเชื่อมต่อธุรกิจบริการไทยสู่ตลาดโลก มุ่งเน้นธุรกิจบริการผู้สูงอายุ หรือ “Silver Market” เนื่องจากเป็นตลาดการค้าบริการที่ที่สามารถต่อยอดไปสู่บริการอื่นได้หลายประเภท และการส่งเสริม Startup เชื่อมกับ New S-Curve เพื่อที่จะต่อยอดสู่ตลาดโลก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้ง Startup complex เพื่อสนับสนุนระบบนิเวศน์ (ecosystem) ของ Startup อย่างครบวงจร และการยกเครื่องด้านกฎหมายและข้อมูลธุรกิจบริการ  

สำหรับกลุ่มธุรกิจบริการเป้าหมายที่จะส่งเสริมแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ ธุรกิจบริการ First S – Curve ได้แก่ Wellness & Medical Services , Hospitality Services, Creative Services, Trade Support Services, Construction & Related Services, and Education Services มุ่งส่งเสริมและพัฒนา Traditional Service สู่ การเป็น High Value Service โดยอาศัยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่าง ๆ อาทิ E-commerce Logistics และ Fintech  ส่วนอีกกลุ่ม คือ ธุรกิจบริการ New S- Curve ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านสิ่งแวดล้อม,ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล , ธุรกิจบริการต่อยอด New S-curve ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการส่งเสริมการให้บริการอย่างครบวงจร เช่นการซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ อากาศยาน ยานยนต์ในน้ำและยานยนต์ไร้คนขับ และการผลิต Digital Content และจะมีการพัฒนาธุรกิจบริการ 6 Cluster ตามความเหมาะสมกับทรัพยากรท้องถิ่น โดยแบ่งเป็น การส่งเสริม เช่น 1. Wellness & Medical Services: ภาคเหนือ และภาคกลาง 2.Hospitality Services: ภาคเหนือ และภาคกลาง 3. Creative Services: ภาคตะวันออกและภาคใต้ 4.Trade Support Services: ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ 5.Construction & Related Services: ภาคกลางตอนบนและภาคอีสาน และ 6. Education Services: ภาคใต้


ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่าปี 2558 จีดีพีของประเทศไทยมีมูลค่า 13,533,596 ล้านบาท จำแนกเป็นจีดีพีภาคเกษตร 1,237,309 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.1 และจีดีพีภาคนอกการเกษตรคิดเป็น 12,296,287 ล้านบาท หรือร้อยละ 90.9 โดยมีจีดีพีภาคบริการสูงสุดคิดเป็น 7,841,743 ล้านบาท หรือร้อยละ 64 ส่วนการค้าระหว่างประเทศ ข้อมูลขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ระบุว่าการส่งออกบริการของไทยปี 2558 อยู่ที่อันดับที่ 21 ของโลก และเลื่อนขึ้นเป็นอันดับที่ 11 ในปี 2559 โดยมูลค่าการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 1.8 ของการส่งออกบริการทั้งโลก รองจากสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 6 และสูงกว่ามาเลเซียซึ่งอยู่ในลำดับที่ 18

สำหรับข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคลภาคธุรกิจบริการของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จำแนกตาม Thailand Standard Industrial Classification (TSIC) พบว่าธุรกิจบริการที่มีผู้จดทะเบียนนิติบุคคลเพื่อประกอบธุรกิจมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.การขายส่ง-ปลีก และการซ่อมยานยนต์และจักยานยนต์ 2. การก่อสร้าง 3.กิจกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ 4.กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ 5.กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน (นำเที่ยว) 6.การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า 7. ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร 8. ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 9. ศิลปะ บันเทิง และนันทนาการ และ 10.กิจกรรมทางการเงินการประกันภัย

อย่างไรก็ตาม หากดูรายได้รวมปี 2558 จากนิติบุคคลที่นำส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดตามลำดับ ได้แก่ 1.การขายส่ง-ปลีก และการซ่อมยานยนต์และจักยานยนต์ 2. กิจกรรมทางการเงินการประกันภัย 3.การก่อสร้าง 4.การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และ 5.กิจกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แสดงให้เห็นว่าบางธุรกิจแม้จะมีจำนวนผู้ประกอบการในตลาดน้อย แต่สามารถสร้างรายได้จำนวนมหาศาล เช่น ธุรกิจการเงินการประกันภัย เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ปะทะแล้ว บริเวณปราสาทตาเมือน หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง

สุรินทร์ 24 ก.ค.-ทบ.รายงานเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนรายงานว่า ได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้ง RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ กำลังพลเจ็บ 2 นาย

กทม. 24 ก.ค.-ด่วน! เหตุปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ ทบ. เผยทหารกัมพูชา เปิดแนวรบเพิ่มที่ ผามออีแดง เขาพระวิหาร ส่วนทหารไทยงัดปืนใหญ่ตอบโต้ กำลังพลเจ็บ 2 นาย เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ระบุเพิ่มเติมว่า เวลา 0920 น. กองทัพบกพบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร พบฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิดและ BM21 ส่วนฝ่ายไทยเข้าปะทะตามแผนพร้อมตอบโต้ปืนใหญ่สนาม 09.20 น. เจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บ 2 นาย จากอาวุธยิงสนับสนุน ในพื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพื้นที่ที่มีการปะทะจำนวน 6 พื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร(ห้วยตามาเรีย/ภูมะเขือ) ช่องอ่านม้า ช่องจอม.-313.-สำนักข่าวไทย

ผบ.ทบ.นำคณะลงช่องอานม้า พรุ่งนี้ จ่อใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ

23 ก.ค.- “ผบ.ทบ.” สั่ง ทภ.2-ทภ.1 เตรียมพร้อม “แผนจักรพงษ์ภูวนาถ” รับมือชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมยกคณะลงพื้นที่บัญชาการ วันที่ 23 ก.ค.68 พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผข.ทบ.) ได้สั่งการไปยังกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่1 รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา เตรียมใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ แก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาหลัง กำลังพลของกองทัพบกไทยจากชุดลาดตระเวน พัน.ร.14 ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พิกัด VA 950911 ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยส่งผลให้ จ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญโคราช ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาขวา และอยู่ระหว่างการส่งตัวรักษาต่อ ณ โรงพยาบาลน้ำยืน โดยให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันที เมื่อสั่งการ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.) พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลโท ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ รองเสธ ทบ. พลโทบุญสินพาดกลาง มทภ.2 […]

“บิ๊กต่าย” อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็น ตร.

ตร. 23 ก.ค. – ผบ.ตร. อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี อ่านคำพิพากษากรณีที่ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนา หลังจากถูกธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ทหาร 2 นาย ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งหนึ่งในรุ่นพี่ที่เป็นจำเลย ปัจจุบันรับราชการตำรวจในภาคอีสาน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ตนได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อสารในประเด็นที่ 1 ตนอยากพบพ่อและแม่ของน้องเมยเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้พูดคุยให้เข้าใจในการปฏิบัติของตำรวจ ซึ่งเป็นประเด็นที่ 2 กรณีที่คู่กรณีเป็นตำรวจ เราต้องมองย้อนไปในขณะที่เกิดเหตุ มองถอยหลังกลับไป คู่กรณีรายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะตำรวจ ฉะนั้นแล้วตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 การดำเนินการทางวินัยจะดำเนินได้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีถือว่าอยู่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนการพิจารณาทางวินัยตำรวจของคู่กรณี ตนได้สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ นำไปประกอบการพิจารณา เนื่องจากวินัยและอาญาจะสามารถเชื่อมกันได้ในข้อเท็จจริงบางส่วน […]

ข่าวแนะนำ

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านหนักสุดเป็นประวัติการณ์

น่าน 24 ก.ค. – ยังน่าห่วง น้ำท่วมเขตเศรษฐกิจและตัวเมืองน่าน หนักสุดเป็นประวัติการณ์ บางจุดท่วมสูงถึงชั้น 2 ของบ้าน ประชาชนติดอยู่ในบ้านกลางน้ำ ยิ่งค่ำยิ่งลำบาก .-สำนักข่าวไทย

ไทม์ไลน์เหตุปะทะเดือด “ไทย-กัมพูชา”

24 ก.ค. – ไล่เรียงไทม์ไลน์เหตุปะทะเดือดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในวันนี้ (24 ก.ค.) มีที่มาที่ไปอย่างไร พลันที่ชุดลาดตระเวน กองพันทหารราบที่ 14 เหยียบกับระเบิดที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเย็นวานนี้ (23 ก.ค.) ทำให้ทหาร 1 นาย บาดเจ็บสาหัสขาขาด อีก 4 นาย บาดเจ็บ ซ้ำรอยเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดจนขาขาดในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ ทำให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตึงเครียดถึงขีดสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยกระดับมาตรการตอบโต้สั่งปิดด่าน 4 แห่ง คือ ช่องอานม้า, ช่องสะงำ, ช่องจอม และช่องสายตะกู พร้อมปิดสถานที่ท่องเที่ยว 2 แห่ง คือ ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควายทันที 07.35 น. วันนี้ (24 ก.ค.) ความรุนแรงเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม รายงานว่าได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ […]

ไม่พลาดเป้า! เอฟ-16 ทิ้งบอมบ์รอบ 2 กลับฐานปลอดภัย

24 ก.ค.- ทอ.เปิดปฏิบัติการ ส่งเอฟ-16 ทิ้งบอมบ์ฝั่งกัมพูชาไม่พลาดเป้า กลับฐานแล้วอย่างปลอดภัย เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 24 ก.ค.68 กองทัพอากาศ เปิดปฏิบัติการ ส่ง F-16 รอบ 2 ของวันนี้ 4 เครื่อง ในการโจมตีทางอากาศตอบโต้กองทัพกัมพูชา ในจุดสำคัญ ทางทิศใต้ของปราสาทตาเมือนธม ไม่พลาดเป้า โดยล่าสุด 17.00 น. F-16 ทั้ง 4 เครื่อง กลับฐานบิน ปลอดภัย หลังสนับสนุน เปิดปฏิบัติการ “ยุทธบดินทร์” -สำนักข่าวไทย