เตรียมสร้างอาคารด่านพรมแดนไทย-เมียนมาร์แห่งที่ 2

กรุงเทพฯ  29 ส.ค. – กรมทางหลวงเตรียมพร้อมก่อสร้างอาคารด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย – เมียนมาร์ แห่งที่ 2 เพื่อส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก


 นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ตามที่กรมทางหลวงก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์แห่งที่ 2 เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นและรองรับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกหรือ East – West Economic Corridor ประกอบด้วย ตัวสะพานข้ามแม่น้ำเมย ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ สำหรับถนนเชื่อมต่อสะพานทั้ง 2 ฝั่ง อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเสร็จเดือนกลางปี 2561 รวมทั้งอาคารด่านพรมแดน เพื่ออำนวยความสะดวกให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีภารกิจรับผิดชอบการตรวจผ่านแดน เข้ามาใช้สถานที่ปฏิบัติงานให้บริการประชาชนร่วมกัน อาทิ เช่น กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมปศุสัตว์ โดยล่าสุดความคืบหน้าโครงการอาคารด่านพรมแดนดังกล่าว กรมทางหลวงจะลงนามสัญญากับผู้รับจ้างภายในปีนี้และคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จเดือนตุลาคม 2562

อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า การก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งสิ้น 1,127 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารด่านฝั่งไทย 586 ล้านบาท ฝั่งเมียนมาร์ 541 ล้านบาท ซึ่งอาคารด่านพรมแดนมีพื้นที่กว้าง 380 เมตร ยาว 450 เมตร ทั้ง 2 ฝั่ง ภายในด่านพรมแดนจะแยกอาคารผู้โดยสารและอาคารสินค้า ซึ่งอาคารผู้โดยสารจะออกแบบให้มีความทันสมัยและยังคงรูปลักษณ์สถาปัตยกรรมของแต่ละประเทศ ลักษณะอาคารผู้โดยสารจะแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นพื้นที่ตรวจและสำนักงานของกรมศุลกากร พื้นที่ตรวจและสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงสำนักงานกักกันโรค ชั้นที่ 2 เป็นสำนักงานของกรมทางหลวง สำนักงานความมั่นคง ส่วนอาคารสินค้าออกแบบให้มีความสะดวกในการขนส่งสินค้าได้อย่างพอเพียง


สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ 2 มีจุดเริ่มต้นโครงการบนทางหลวงหมายเลข 12 ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน ที่บ้านวังตะเคียน ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ราชอาณาจักรไทย เข้าสู่บ้านเยปู หมู่ที่ 5 เมืองเมียวดี จังหวัดเมียวดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มีจุดสิ้นสุดบรรจบถนนหมายเลข 85 สายเมียวดี – กอกะเร็ก เมื่อแล้วเสร็จจะเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงเอเชียหมายเลข 1

ทั้งนี้ เมื่อโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ 2 เสร็จสมบูรณ์จะช่วยเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ อำนวยความสะดวกรวดเร็วในการคมนาคมขนส่ง ส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้าการลงทุนในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ช่วยลดปัญหาการจราจรแออัดของสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมาร์ แห่งที่ 1 และรองรับการจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งจะกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงอาเซียน-โลกและการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ  อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง