กรุงเทพฯ 24 ส.ค.-นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ปฎิรูปยั่งยืน พลิกฟื้นประเทศไทย เชิญชวนนักธุรกิจร่วมลงทุนพัฒนาประเทศไปพร้อมรัฐบาล ขณะเดียวกัน ยืนยันไม่สืบทอดอำนาจ เพราะไม่ใช่นักการเมือง และไม่ได้ขี่หลังเสือ ตอนลงจึงไม่ต้องมีคนดูแล แต่เดินด้วยสองเท้า มีประชาชนเคียงข้าง เผย “พล.อ.เปรม” เตือนให้เป็นคนใจเย็น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนาประจำปี ในงาน “บางกอกโพสต์ ฟอรั่ม 2017” หัวข้อเรื่อง “ปฎิรูปยั่งยืน พลิกฟื้นประเทศไทย” ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว โดยมีผู้บริหารภาคธุรกิจชั้นนำ ทั้งไทยและต่างประเทศ นักการทูต เข้าร่วมงาน
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ เป็นช่วงที่สังคมไทยกำลังมีปัญหาสะสมหลายด้าน ทั้งด้านปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย และปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางความคิด ซึ่งได้ส่งผลให้เกิดความแตกแยกในสังคม จนทำให้ประเทศไม่สามารถที่จะพัฒนาเดินหน้าต่อไปได้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้อย่างเร่งด่วน โดยรัฐบาลมีนโยบายปฏิรูปประเทศในทุกด้าน เพื่อสร้างพื้นฐานของสังคมไทยให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุข และมุ่งส่งเสริมพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดการขยายตัวและเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักในการดำเนินงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลบริหารประเทศโดยยึดหลักธรรมาภิบาล ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ และได้มีนโยบายในการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวเข้าสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว พร้อมทั้งกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ซึ่งเป็นการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในระยะยาว และเพื่อให้การบริหารแผ่นดินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นที่การบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ” ที่ผนึกกำลังกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนา และบุคลากร ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติขึ้น ภายใต้คณะกรรมการเพื่อพิจารณากลั่นกรองเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง (ป.ย.ป.) เพื่อทำหน้าที่จัดเตรียมสาระของยุทธศาสตร์ชาติให้มีความสมบูรณ์ที่สุด และตรงกับความต้องการของประชาชน และจะส่งมอบต่อให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติที่จะเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติในเร็ว ๆ นี้
“การทำให้ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีเกิดผลสัมฤทธิ์ เครื่องมือสำคัญที่จะเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนการทำงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ได้แก่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และแผนพัฒนาฉบับต่อ ๆ ไป เพราะยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาที่กำหนดไว้ เพื่อรองรับการพัฒนาที่ต่อเนื่องกันไปตลอด 20 ปี โดยเฉพาะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่จะต้องเป็นเหมือนก้าวแรกในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในอนาคต เป็นการวางรากฐานการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ในระยะยาวทั้ง 6 ด้านของยุทธศาสตร์ชาติ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องสร้างเศรษฐกิจใหม่ โดยต้องเน้นพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภาค ซึ่งต้องเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพก่อน พร้อมขอให้ทุกคนวางใจรัฐบาล โดยรัฐบาลไม่ต้องการทำให้ประเทศเสียหาย และอยากเชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐบาล ทั้งนี้มีแนวคิดอยากจะสร้างอุโมงค์ลอดระหว่างฝังตะวันตกและตะวันออกของกรุงเทพฯ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร เพราะแม้ว่าจะสร้างรถไฟฟ้ครบทั้งหมด ก็ยังไม่เพียงพอ จึงอยากให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน หากใครพร้อม รัฐบาลก็พร้อมจะลงทุนในลักษณะของการลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน หรือ PPP Fast track นอกจากนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำบัตรสวัสดิการให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งคงไม่สามารถช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านได้ แต่จะพิจารณาตามความเหมาะสม ทั้งนี้ต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐบาล ซึ่งอยากเห็นการลดราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้กับประชาชนในกลุ่มเหล่านี้ด้วย
สำหรับเรื่องการปฏิรูปการศึกษา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นการพัฒนาพื้นฐานทรัพยากรมนุษย์ เพราะหากจะคิดโครงการใดขึ้นมา แต่ไม่มีการเตรียมพร้อม ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งวันนี้ไทยได้มีความร่วมมือด้านการศึกษากับต่างประเทศในการส่งนักศึกษาไทยไปเรียนด้านงานวิจัยในต่างประเทศ แต่กลับมาแล้วไม่ทราบไปอยู่ส่วนไหน ดังนั้นต่อจากนี้จะมีการปรับปรุง เมื่อมีการไปศึกษาต่อแล้วกลับมา ต้องมีการจัดหางานให้ทำ โดยเฉพาะด้านการวิจัยและพัฒนา ต่อไปนี้ทุนการศึกษาจะให้เฉพาะ จะให้ทุนไปศึกษาต่อเฉพาะด้านที่ประเทศที่มีความต้องการ
“ผมมีโอกาสที่ได้เข้าอวยพรวันเกิดล่วงหน้า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ช่วงเช้าวันนี้ (24 ส.ค.) โดย พล.อ.เปรม ได้บอกกับผมว่า ขอให้ใจเย็น อย่าไปสนใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ และมุ่งแก้ปัญหาในเรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งผมได้ตอบรับที่จะใจเย็น และตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ก็พยายามทำอยู่ แต่ก็ทำได้แค่นี้ แต่จะต้องพยายามทำต่อไป และขอยืนยันอีกว่าไม่คิดสืบทอดอำนาจ อนาคตต้องเป็นเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลนี้เดินหน้ายกระดับแก้ปัญหาทุจริต ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ตามแนวทางพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และศาสตร์พระราชา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
“การเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องทดลองใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และอาหาร จากผู้ผลิตต่าง ๆ เพื่อยืนยันความปลอดภัยให้กับประชาชน ซึ่งมีคนเตือนเรื่องการวางยา แต่ผมไม่สนใจ เพราะความดีที่ทำมา ความดีที่ผมตั้งใจ น่าจะช่วยปกป้องผมได้ ไม่มีใครดูแลเราได้ แม้ว่าผมจะมี รปภ.ของผมก็ตาม บางครั้งผมอาจจะต้องดูแล รปภ.ด้วย เราต้องทำตัวเราเองให้ดี อยู่ในศีลอยู่ในธรรม ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ยึดประเทศชาติเป็นที่ตั้ง เชื่อมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ประชาชนก็ต้องดูแลเรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว ตั้งตำรวจตั้งทหาร เขาคุ้มครองผมไม่ได้หรอก ไม่ต้องกลัว วันนี้มีคนถามผมว่า ถ้าลงจากหลังเสือ ต้องมีคนดูแลหรือไม่ ผมไม่ได้คิดว่าผมขึ้นหลังเสือ ผมเป็นคนธรรมดา ก็มาเดินหน้าประเทศไทย ปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนผ่าน พลิกฟื้นแผ่นดินให้มีศักยภาพ มันเป็นความท้าทาย ไม่ได้ขึ้นหลังเสือ แล้วผมจะขึ้นไปทำไมหลังเสือ คนเลี้ยงเสือตายไปเยอะเลย ผมไม่ขึ้นหรอกหลังเสือ ผมเดินด้วยสองเท้าของผมนี่แหละ และมีประชาชนเดินเคียงข้างผมไป มันก็เดินหน้าไปได้ด้วยดี” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การบังคับใช้กฎหมายนั้น เหมือนกันในทุกคดี เพราะใช้กฎหมายเดียวกัน และย้ำว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี เพราะมีกฎหมายลูกที่สำคัญในการนำไปปฎิบัติใช้ ซึ่งตนได้กำชับฝ่ายกฎหมายว่าการเขียนกฎหมายต้องเป็นประเยชน์กับทุกคคน ไม่เน้นการบังคับ เพราะไม่เช่นนั้น จะเกิดการต่อต้าน
“การบังคับใช้กฎหมาย วันนี้ดูแล้วกัน เกิดอะไรขึ้น มันเป็นเพียงเรื่องหนึ่ง คดีหนึ่ง ในแสนในล้านคดี แต่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทุกวัน จนวุ่นวายไปหมด ทำอย่างไรเรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม ธรรมดาคือผิดแล้วได้รับการพิจารณาในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ว่าไป แต่ถ้ายังมีการปลุกกันไป ปลุกกันมา มีทั้งคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อีกหน่อยศาลก็ทำอะไรไม่ได้ ศาลเราได้รับความเคารพนับถือมายาวนาน เป็นศาลในพระปรมาภิไธย เขาต้องตัดสินด้วยหลักฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ อย่าคิดเอาเอง ก็อย่าทำให้เรื่องเหล่านี้ ทำให้ประเทศชาติวุ่นวายอีกเลย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2579 ตนเป็นคนคิดเอง แต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพราะตนต้องการสืบทอดอำนาจ ซึ่งถ้าตนจะเล่นการเมือง ก็ต้องเป็นนักการเมืองตั้งแต่แรก แม้จะมีคนเชียร์ทั้งห้อง หรือทั้งประเทศ ก็เป็นไม่ได้ และวันนี้พยายามใช้ความอดทนในการแก้ปัญหาประเทศ.-สำนักข่าวไทย