เรือนจำพิเศษธนบุรี 9 ส.ค.– ‘วิกรม กรมดิษฐ์’ ประสานเอกชนรับผู้ต้องขังพ้นโทษเข้าทำงาน ด้านกรมราชทัณฑ์ ขอโอกาสจากสังคมเปิดใจให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ หลังพบผู้กระทำผิดซ้ำถึงร้อยละ 12
นายกิตติพัฒน์ เดชะพหุล รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธานเปิดงานบรรยายให้ความรู้ตามโครงการสื่อสารสนเทศเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ และพัฒนาจิตใจผู้ต้องขัง ภายในเรือนจำพิเศษธนบุรี โดยกรมราชทัณฑ์ เชิญ นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนความรู้ให้กับผู้ต้องขังที่มาร่วมรับฟังกว่า 800 คน
นายวิกรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากบรรยายว่า สิ่งที่ต้องการให้ผู้ต้องขังทำในระหว่างรับโทษในเรือนจำ คือเพิ่มพูนความรู้ เพราะอาวุธที่สำคัญที่สุดหลังจากที่พ้นโทษคือทักษะความรู้ที่ติดตัว ซึ่งในปัจจุบันเรือนจำต่างๆมีอาจารย์ที่มีความรู้ในด้านต่างๆมาช่วยฝึกสอนทักษะวิชาชีพในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น งานช่าง งานฝีมือ งานศิลปะ และที่สำคัญทัศนคติในการออกไปใช้ชีวิตจะต้องไปกลับไปหาสิ่งที่เคยทำผิดพลาด เพราะต้องยอมรับว่าในสังคมไทยเกือบทั้งหมดยังคงมีความหวั่นกลัว ผู้ต้องหา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยังไม่กล้ารับเข้าทำงาน หรือคบค้าสมาคมด้วย
นายวิกรม กล่าวต่อว่า ในส่วนของการให้งานแก่ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ บริษัทของตนได้ประสานกับกรมราชทัณฑ์ ขอตัวผู้ต้องขังที่พ้นโทษมาทำงานในส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะงานช่าง ซึ่งพบว่าตลอด 10 ปี ผู้ที่พ้นโทษออกมามีพฤติกรรม มีระเบียบวินัยในการทำงานดีกว่าคนปกติทั่วไปด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม 10 ปียังสามารถรับได้ทำงานได้เพียงแค่ 50-60 คนเท่านั้นทั้งที่ใจจริงมีตำแหน่งที่สามารถรับเข้าทำงานได้ถึงกว่า300ตำแหน่ง ตนพร้อมจะประสานไปยังบริษัทเอกชน ที่เป็นพันธมิตรช่วยรับผู้ต้องขังที่พ้นโทษเข้าทำงานให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ด้านนายกิตติพัฒน์ กล่าวว่า ผู้ต้องขังที่พ้นโทษแล้วกลับเข้ามารับโทษจากสถิติพบว่ามีประมาณร้อยละ 12 จากนักโทษที่เฉลี่ยผลัดกันเข้าออกในแต่ละปีประมาณ 20,000 คน หากเทียบกับประเทศในตะวันตกที่มีเฉลี่ยถึงร้อยละ 40 ส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เมื่อออกไปมักจะกลับไปอยู่กับความคุ้นเคยในบรรยากาศเดิมๆ เพื่อนกลุ่มเดิมๆจึงทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ อีกปัจจัยสำคัญคือ การยอมรับ และเปิดใจของคนในสังคมให้กับผู้ต้องขังที่ได้รับอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามปลูกฝังมาตลอดหลาย 10 ปีก็ยังไม่สำเร็จ แม้สถานการณ์ภาพรวมจะดีขึ้น แต่ก็ยังน้อยมาก. -สำนักข่าวไทย