ตัวเลขเม็ดเงินลงทุนวิจัยกระดกหัวขึ้นร้อยละ 0.7 ต่อจีดีพี

กรุงเทพฯ 24 ก.ค. – รัฐ-เอกชนร่วมมือส่งเสริมการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา ต่อยอดนวัตกรรม 3 ปี ยอดปรับขึ้นจากร้อยละ 0.2 เป็นร้อยละ 0.7 ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอนาคต ด้านเอกชนระบุระเบียบรัฐหยุมหยิมเข้าถึงเม็ดเงินวิจัยยาก ล่าสุดไปจดสิทธิบัตรที่สิงคโปร์เร็วกว่า


นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และอดีตผู้บริหารเอสซีจี กล่าวว่า การสร้างความสามารถทางการแข่งขันของประเทศต้องเน้นเรื่องงานวิจัยและพัฒนาที่เป็นการสร้างความร่วมมือกับเอกชน เพื่อให้วิจัยและต่อยอดเชิงพาณิชย์นำมาจำหน่ายได้ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญและมีการกระตุ้นออกนโยบายจูงใจหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ดำเนินการด้านนี้ ส่งผลให้การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.2 ของจีดีพี เป็นร้อยละ 0.62 ในปี 2558 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นร้อยละ 0.7ในปี 2559 โดยภาคเอกชนให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นมีเม็ดเงินลงทุนเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ภาครัฐร้อยละ 30 ขณะที่นักวิจัยระดับปริญญาเอกของประเทศมีประมาณ 9,900 คนเป็นของภาคเอกชนประมาณ 700 คนเท่านั้นนอกนั้นเป็นของภาครัฐทั้งหมด

“พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญต่อการพัฒนานวัตกรรมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง งบด้านนี้ควรต้องเพิ่มขึ้น เอกชน เช่น เอสซีจีมีประมาณร้อยละ 1 ของยอดขาย หรือ 4,500 ล้านบาทต่อปีช่วยสร้างรายได้จากสินค้ามูลค่าเพิ่มที่นำไปต่อยอดต่างประเทศ ก็ให้ความสำคัญด้านนี้ เช่น หัวเหว่ยใช้เงินด้านนี้ถึงร้อยละ 14” นายกานต์ กล่าว


นายกานต์ กล่าวว่า การพัฒนางานวิจัยให้ประสบความสำเร็จต้องมองถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญด้วย นักวิจัยก็ต้องถ่ายทอดสร้างความเข้าใจ ไม่ใช่วิจัยแล้วงานแตะต้องไม่ได้อยู่บนหอคอย รวมทั้งต้อง”พูดภาษาคนให้เข้าใจ” ในส่วนของนักวิจัยที่ส่วนใหญ่อยู่มหาวิทยาลัยก็ต้องปรับบทบาท เน้นไปทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ความสำเร็จนั้นไปสู่การพัฒนานวัตกรรมของประเทศ คือ การทำงานร่วมกับเอกชน เป็นสำคัญ

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ กล่าวว่า สตาร์ทอัพปัจจุบันมีช่องทางระดมเพื่อพัฒนางานวิจัยมากขึ้น เช่น การระดมทุนในเอ็มเอไอ การระดมทุนแบบ CROWDFUNDING  คือ การระดมทุนจากคนหมู่มากทีละเล็กน้อยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งที่ผ่านมาการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ สร้างความสำเร็จให้สตารท์อัพหลายราย เช่น FORTH  ILINK มีวงเงินไปขยายงาน นอกจากนี้ ปัจจุบันไทยยังมีวงเงินร่วมทุนใน VENTURE CAPITAL FUND ประมาณ 20,050 ล้านบาทที่ภาครัฐ-เอกชนจัดตั้งขึ้นมา โดยนักวิจัยควรใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ โดยวงเงินนี้แยกเป็นกองทุนภาครัฐ 6,800 ล้านบาท แยกเป็นภาคธนาคารออมสิน, กรุงไทย และเอสเอ็มอีแบงก์ รายละ 2,000 ล้านบาท ตลาดหลักทรัพย์ฯ 700 ล้านบาท และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 100 ล้านบาท ส่วนภาคเอกชน 13,250 ล้านบาท ก็มาจากหลายหน่วยงาน เช่น เอสซีจี 3,000 ล้านบาท กลุ่ม ปตท. 1,500 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ รายละ 1,750 ล้านบาท เอไอเอส, ทรู, ธนาคารกสิกรไทย รายละ 1,000 ล้านบาท เป็นต้น


นายวิรุฬห์ ตัณฑะพาณิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล อาร์แอนด์ดี จำกัด ผู้ให้บริการร่วมงานวิจัย งานที่ปรึกษาและโรงงานต้นแบบด้านอุตสาหกรรมปิโตรเครมี กล่าวว่า การที่ภาครัฐให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีด้านงานวิจัยร้อยละ 300 และยังมีการลงทุนวิจัยร่วมในสัดส่วนครึ่งหนึ่งในวงเงินลงทุนวิจัยไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ดี เอกชนรายเล็กที่ไม่มีเงินลงทุนมาก สามารถจ้างเอกชน เช่น บริษัทของตน แล้วนำไปลดหย่อนภาษีได้ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเรื่องระเบียบการขอเม็ดเงินการวิจัยของภาครัฐ ขั้นตอนการจดสิทธิบัตร ระยะเวลาในการค้นหาข้อมูลด้านสิทธิบัตรของภาครัฐ มีผลต่อกระบวนการวิจัย ล่าสุดทางบริษัทจึงไปขอจดสิทธิบัตรที่หน่วยงานสิงคโปร์ เป็นงานวิจัยครั้งแรกของโลกนำพลาสติกใช้แล้วกลับมารีไซเคิลผลิตเป็นสารตั้งต้นและผลิตพลาสติกได้อีกครั้ง ต้นทุนต่ำกว่าการใช้วัตถุดิบใหม่ถึง 200 บาทต่อตัน นับเป็นความหวังในการกำจัดขยะพลาสติก ซึ่งขณะนี้กำลังพูดคุยกับเอกชนในไทยเพื่อสร้างโรงงานนำร่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 30-40 ล้านบาท/ปี ตั้งเป้า 100 ล้านบาทใน 3 ปีข้างหน้า และยังไม่เข้าจดทะเบียนในเอ็มเอไอ เนื่องจากข้อกำหนดทุนจดทะเบียนยังต่ำกว่าข้อกำหนดภาครัฐ.-สำนักข่าวไทย  

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]