จันทบุรี 20 พ.ค.- รองประธาน สนช. แนะ กมธ.ร่างกฏหมายลูกพิจารณาระมัดระวังตามมาตรา 77 พร้อมระบุ บทเฉพาะไม่กำหนดกรอบเวลา สนช.ส่งร่างกฎหมายลูกให้องค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกรอบเวลาตั้งกรรมาธิการร่วมในกรณีมีเสียงไม่เห็นด้วย
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะประธานกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมเพื่อประกบอการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวบรรยายในงานสัมมนา เรื่องร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการเลือกตั้ง และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่โรงแรมนิวแทรเวล ลอด์จ จังหวัดจันทบุรี โดยสรุปภาพรวมกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามบทเฉพาะกาล มาตรา 267 ว่าด้วยการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ว่า กระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มีกฎเกณฑ์ที่ใช้อยู่ 2 ข้อ คือ ตามมาตรา 267 และในบทถาวร มาตรา 130-132 ที่กำหนดว่า คะแนนลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องมีคะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่กึ่งหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะครบกำหนดในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ส่วนกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่จะต้องร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 ฉบับนั้น จะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 240 วันนับแต่วันประกาศรัฐธรรมนูญ หรือครบกำหนดในวันที่ 1 ธันวาคม 2560 หรือเป็นวันที่ กรธ.จะส่งฉบับสุดท้ายให้ สนช.
นายสุรชัย กล่าวว่า เมื่อผ่านกระบวนการของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และที่ประชุม สนช.ให้ความเห็นชอบในวาระ 3 เรียบร้อยแล้ว จะยังประกาศใช้เป็นกฎหมายไม่ได้ เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนดว่าจะต้องส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระ และ กรธ.ด้วย แต่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่า สนช.จะต้องส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในกี่วัน ซึ่งความเห็นส่วนตัว มองว่าต้องยึดบทหลักถาวรของรัฐธรรมนูญ คือ 15 วัน
นายสุรชัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เมื่อส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไปยังองค์กรที่เกี่ยวข้องก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องพิจารณาตรวจสอบเพื่อทำความเห็นกลับมาภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากตรง ก็ถือว่าจบกระบวนการ แล้วส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อรอทูลเกล้าฯ แต่หากเห็นว่า ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ จะต้องตั้งกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณา ซึ่งบทเฉพาะกาลก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องตั้งกรรมาธิการร่วมภายในกี่วัน แต่ภายใน 15 วัน กรรมาธิการร่วมต้องเสนอร่างกฎหมายลูกต่อ สนช.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ถ้า สนช.มีมติไม่ถึง 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ถือว่าเป็นอันตกไป ซึ่งบทเฉพาะกาลเขียนทิ้งไว้เท่านี้ โดยไม่ได้ระบุว่าใครจะเป็นคนเขียนต่อไป จึงเป็นโจทย์ที่รออยู่ข้างหน้า
“ในกระบวนการส่งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อรอการทูลเกล้าฯ คือ มาตรา 145 และมาตรา 148 ต้องรอ 5 วัน เพื่อดูว่ามีประเด็นปัญหาส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยบุคคลที่จะยื่นเรื่องต่อศาล คือ นายกรัฐมนตรี หรือสมาชิก สนช. 1 ใน 10 เข้าชื่อกัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้นสมาชิกต้องระวังเรื่องกระบวนการพิจารณาอาจถูกทักท้วงให้ตรวจสอบได้ กระบวนการที่จะตรวจสอบมีหนึ่งกระบวนการที่เป็นของใหม่กำหนดไว้ คือ ในมาตรา 77 ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมกังวล และฝากกรรมาธิการฯ ไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยขอให้ตรวจสอบตามมาตรา 77 จะเป็นการดี การพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 10 ฉบับ เกี่ยวข้องกับมาตรา 77 แม้มาตรา 267 ไม่ได้กำหนดไว้ แต่เราก็ต้องยึดบทถาวร ต้องจัดให้มีการรับความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระบทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยต้องเปิดเผยต่อประชาชน ซึ่งอย่างน้อย ก็ต้องลงเว็บไซต์ให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบได้ โดยจะต้องนำข้อต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้นนำมาประกอบการพิจารณาทุกขั้นตอน แต่คำถาม คือ ในขณะที่พิจารณา ได้ทำตามขั้นตอนหรือยัง ถ้ายัง กรุณากลับไปทำด้วย รวมทั้งการเขียนรายงาน เจ้าหน้าที่จะต้องไม่เขียนรูปแบบเดิม ๆ ต้องแจกแจงขั้นตอนในกระบวนการทั้งหมด” นายสุรชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย