กรมสุขภาพจิต 27 เม.ย.-กรมสุขภาพจิต ชี้ทั่วโลกไร้วัคซีนใจฉีดป้องกันโรคระบาดทางอารมณ์พฤติกรรม ตัวการก่อปัญหาความรุนแรงสังคม แนะพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วย 6 เมนู สร้างภูมิต้านทานโรค อาทิการให้ความรักเอาใจใส่-เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่น-ช่วยเหลือตนเอง-ฝึกรอคอย-ปรับตัว-การให้ ’ เริ่มตั้งแต่แรกเกิด ต่อเนื่องทุกช่วงวัย ให้ผลดีที่สุดในช่วง 5 ขวบแรกเวลาทองของชีวิต
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ให้สัมภาษณ์ว่าสัปดาห์สุดท้ายของเดือน เม.ย.ทุกปี องค์การอนามัยโลก กำหนดเป็นสัปดาห์รณรงค์การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก ให้วัคซีนป้องกันโรคแก่คนทุกวัย เช่นโรคโปลิโอ โรคคอตีบ เป็นต้น ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานเชื้อโรคอันตรายป้องกันการเจ็บป่วยทางกาย สถานพยาบาลเป็นฝ่ายให้ แต่ด้านสุขภาพจิตใจหรือโรคทางจิตเวชทั่วโลก ยังไม่มีการผลิตวัคซีนป้องกันเป็นผลสำเร็จ ปัญหาที่เกิดมาจากสุขภาพจิตใจ อารมณ์ มักอยู่ในรูปปัญหาสังคมความรุนแรงหรือที่เรียกว่าโรคระบาดทางอารมณ์และพฤติกรรม โดยสถิติสถานพินิจเด็กและเยาวชน ปี 2557มีเด็กเยาวชนไทยอายุต่ำกว่า 25 ปีกระทำผิด 36,537 คน มีทั้งคดียาเสพติด คดีเกี่ยวกับทรัพย์ทำร้ายร่างกาย รวมทั้งการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าเด็กไทยขาดภูมิคุ้มกันทางใจที่น่าเป็นห่วง ขณะนี้โลกอยู่ในยุคไซเบอร์ เทคโนโลยีสื่อสารมีความก้าวหน้า แต่ความสัมพันธ์ของบุคคลกลับห่างเหินและฉาบฉวย ต่างคนต่างอยู่ ปัญหาสังคมอาจทวีความรุนแรงขึ้น
‘วัคซีนใจนี้ยังไม่มีขายที่ใดในโลกได้มาจากการเลี้ยงดูเป็นหลัก ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตฟันธงว่า พ่อแม่เป็นบุคคลสำคัญที่สุด ที่จะเป็นคนให้วัคซีนใจแก่ลูกเริ่มตั้งแต่แรกเกิดและต่อเนื่อง กรมสุขภาพจิตมีนโยบายส่งเสริมให้ทุกครอบครัวหันมาใส่ใจเลี้ยงดูเด็กที่เกิดในรุ่นเจนแซด ซึ่งมีจำนวนการเกิดลดลงให้ถูกวิธีเพื่อสร้างวัคซีนใจ ให้เด็กไทยทุกคนมีภูมิคุ้มกันทางใจ มีจิตใจที่มั่นคงเข้มแข็ง มีศักยภาพในการปรับตัว มีทักษะจัดการปัญหาชีวิต แก้ปัญหาด้วยตัวเองเป็น สามารถฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตและอยู่ร่วม กับคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างดีมีความสุข ควบคู่ไปกับการมีสุขภาพแข็งแรง ไม่สร้างปัญหาให้สังคม” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
สำหรับเมนูการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ใช้เป็นวัคซีนสร้างภูมิต้านทานทางจิตใจให้ แก่เด็ก 6เมนู ได้แก่ 1.ให้ความรักและเอาใจใส่สร้างสายใยผูกพัน เด็กจะมีจิตใจมั่นคงมีอารมณ์สุขุม หนักแน่น 2.ให้ลูกมีโอกาสได้เล่น เด็กจะได้เรียน รู้การอยู่ร่วมคนอื่น ฝึกการยอมรับ เรียนรู้การเป็นผู้นำ เป็นผู้ตาม นำมาใช้ในชีวิตจริง 3.ให้ลูกมีโอกาสช่วยเหลือตนเองเด็กจะรู้จักคิด รู้จักทำ มีความรับผิดชอบ รู้จักพึ่งพาตัวเอง
4.ฝึกนิสัยให้เด็กรู้จักการรอคอย การอดทน อดกลั้น เด็กจะควบคุมอารมณ์ได้ดี ยับยั้งชั่งใจสิ่งที่มายั่วยุ เคารพกฎเกณฑ์สังคม 5. เปิดโอกาสให้ลูกรู้จักปรับตัวเผชิญและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เด็กจะรู้จักพลิกแพลงแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ 6.ฝึกลูกให้รู้จักการให้ การช่วยเหลือและเข้าใจคนอื่น ลูกจะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น สามารถประสานความร่วมมือกับคนอื่นได้อย่างราบรื่น พ่อแม่ต้องเริ่มให้ตั้งแต่แรกเกิดและต่อเนื่องทุกช่วงวัย ให้ผลดีที่สุดในช่วง 5 ขวบแรก ถือเป็นช่วงเวลาทองของชีวิต
ด้าน พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ จิตแพทย์เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กล่าวว่า พ่อแม่ที่ไม่ใส่ใจให้ความรักแก่ลูกเด็กจะขาดความอบอุ่น ขาดความมั่นคงทางใจแนวโน้มมีอารมณ์อ่อนไหว พ่อแม่ที่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกช่วยเหลือตัวเองจะส่งผลให้เด็กทำอะไรไม่เป็น ขาดความรับผิดชอบ แก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ หากพ่อแม่ไม่ฝึกให้ลูกรู้จักการรอคอย เด็กจะเอาแต่ใจตัวเอง มีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย เครียดง่าย ระงับอารมณ์ไม่ได้ มีแนวโน้มก่อความรุนแรง หากพ่อแม่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นกับเด็กอื่น เมื่อโตขึ้นเด็กจะเข้าสังคมยาก ไม่รู้จักกติกาสังคม ไม่รู้จักการแพ้ ชนะ และอภัย เด็กที่พ่อแม่ไม่เปิดโอกาสให้รู้จักการปรับตัว จะกลายเป็นคนขาดความพยายาม ไม่อดทน ท้อถอยเมื่อเผชิญปัญหา และหากเด็กไม่ได้รับการฝึกให้รู้จักการให้ การแบ่งปัน เด็กจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ใจคอคับแคบ เข้ากับคนอื่นยาก
หลักการเลี้ยงลูกให้ดีต้องเน้น 2 เรื่องคือความสัมพันธ์ครอบครัว และการสร้างกฎระเบียบในบ้านต้องชัดเจน ลดการบ่น กรณีเห็นลูกทำไม่ถูกต้อง ขอให้เลี่ยงการใช้คำพูดเชิงตำหนิเด็ก เช่นการพูดว่าทำไมลูกหรือเธอถึงเป็นแบบนี้ แต่ควรใช้คำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยจากพ่อแม่แทน เด็กจะเกิดความรู้สึกว่าพ่อแม่รักใส่ใจ และหันมาพิจารณาทางเลือกที่ดีกว่าที่พ่อแม่แนะนำ
ทั้งนี้ อารมณ์และพฤติกรรมเด็กเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ทั้งจากการเลี้ยงดู และปัจจัยตัวเด็กเองซึ่งจะมีนิสัยติดตัวมาตั้งแต่เกิด 4 ลักษณะ ได้แก่ 1. เด็กเลี้ยงง่าย มีร้อยละ 40 เด็กกลุ่มนี้จะมองโลกในแง่ดี อารมณ์ดี 2. เด็กขี้กังวล ปรับตัวช้า พบร้อยละ 15 เด็กกกลุ่มนี้ปรับตัวได้ช้ามาก 3. เด็กเลี้ยงยากพบร้อยละ 15 มักจะหงุดหงิดง่าย อารมณ์รุนแรง และ 4. ลักษณะผสมผสานที่กล่าวมาพบได้ร้อยละ 30 แต่ไม่ว่าเด็กจะมีลักษณะนิสัยติดตัวแต่เกิดมาอย่างไรก็ตามหากพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจ ให้เวลาดูแลอย่างเข้าอกเข้าใจ เด็กจะถูกหล่อหลอมให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง และปรับตัวได้อย่างเหมาะสมในช่วงชีวิตต่อมา เป็นดั่งวัคซีนใจได้ .-สำนักข่าวไทย