กรุงเทพฯ 19 เม.ย. – สมาคมการขายตรงไทย คาดธุรกิจขายตรงโต 5 – 8 % มูลค่าตลาดกว่า 70,000 ล้านบาท รับกรณี “ซินแสโชกุน” กระทบภาพลักษณ์
กรุงเทพฯ 19 เม.ย. – นางสุชาดา ธีรวชิรกุล นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวถึงกรณีแชร์ลูกโซ่หลอกพาลูกข่ายไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ว่า ผู้บริโภคต้องสังเกตว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการขายตรงจะไม่ดีเกินกว่าความเป็นจริง เนื่องจากการขายตรงมีลักษณะเหมือนการค้าขายรูปแบบอื่น คือ สร้างรายได้จากการขายสินค้าควบคู่กับการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ไม่ใช่การขายสินค้าบังหน้าเพื่อระดมเงินจากคนจำนวนมากเช่นเดียวกับแชร์ลูกโซ่ โดยยอมรับว่าแม้กรณีที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจขายตรง แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนในอดีต เพราะปัจจุบันผู้บริโภคมีความเข้าใจเรื่องการขายตรงมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสังเกตได้ว่า สินค้าขายตรงจะมีเครื่องหมาย อย. และราคามีความเหมาะสม โดยสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ว่าบริษัทใดที่จดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรงอย่างถูกต้อง ขณะที่ หากเป็นธุรกิจหลอกลวงสินค้ามักด้อยคุณภาพ ใช้สินค้าพรางรูปแบบ อธิบายสรรพคุณคลุมเครือ มีรายได้จากการหาสมาชิกใหม่เป็นหลัก ไม่มีผู้บริโภคตัวจริง ค่าสมัครมักราคาสูง เน้นลงทุนและซื้อสินค้าจำนวนมากๆ และไม่มีนโยบายรับคืนสินค้า
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีบริษัทขายตรงที่จดทะเบียนถูกต้องและดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง 300 ราย ในจำนวนนี้เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เพียง 33 ราย แต่มีมูลค่าธุรกิจคิดเป็นกว่าร้อยละ 60 ของมูลค่าตลาด ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนให้บริษัทเหล่านี้เข้าร่วมเป็นสมาชิก เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบเมื่อเกิดเหตุ โดยสมาคมฯ มีเงื่อนไข 4 ข้อในการรับเป็นสมาชิก ได้แก่ ต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนกับ สคบ. แล้ว / สินค้าทุกประเภทต้องมีเครื่องหมาย อย. / ต้องปฏิบัติตามกฎหมายการขายตรง เช่น มีนโยบายการรับคืนสินค้า และต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณของสมาพันธ์ขายตรงโลก
อย่างไรก็ดี คาดว่าธุรกิจขายตรงปีนี้จะเติบโต ร้อยละ 5 – 8 มีมูลค่าตลาดรวม 70,000 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการรวมของธุรกิจขายตรงไทยในไตรมาสแรก มีอัตราการเติบโตร้อยละ 2 – 3 เทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา จากปัจจัยของการเป็นโมเดลธุรกิจที่มอบโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ (Young Generation) ที่ต้องการประกอบธุรกิจส่วนตัว และผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมจากงานประจำ จะเห็นได้จากตัวอย่างของบริษัทสมาชิกที่มีจำนวนคนรุ่นใหม่ทยอยเข้าสู่ธุรกิจมากขึ้นถึงร้อยละ 30 อีกทั้งสินค้าที่นำเสนอในธุรกิจขายตรงมีคุณภาพ มีความหลากหลายทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์และระดับราคา สามารถครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในทุกเพศทุกวัย โดยกลุ่มสินค้าที่มียอดขายสูงสุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการตลาดถึงร้อยละ 45 ของตลาดขายตรงรวม เนื่องด้วยเทรนด์ของการดูแลสุขภาพยังคงมาแรง และผู้บริโภคในปัจจุบันยังคงให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การใช้สื่อดิจิทัล ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เสริมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจขายตรงไทย เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด หันมานิยมช้อปปิ้งออนไลน์ เลือกสินค้าที่เหมาะสมตรงกับคาแรกเตอร์ หรือตรงกับความต้องการของตัวเองมากยิ่งขึ้น ทำให้การนำเสนอสินค้าจะต้องมีการสื่อสารในแนวที่ใช่ ในอารมณ์ที่ชอบ เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ประกอบกับคนรอบข้างสามารถสร้างอิทธิพลในการตัดสินใจซื้อมากขึ้นด้วย เช่น เพื่อน, บล็อกเกอร์ หรือผู้ทรงอิทธิพลจากหลากหลายวงการต่างๆ ที่จะแนะนำหรือรีวิวสินค้า จึงทำให้หลายๆ บริษัทในธุรกิจขายตรงเริ่มตื่นตัวและหันมาเพิ่มช่องการสื่อสาร เพื่อสร้างแบรนด์ คอนเนคชั่น กับผู้บริโภคในช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ มากขึ้น อาทิ เฟซบุ๊ก ไลน์ เป็นต้น ในขณะเดียวกันสื่อดิจิทัลก็ยังกลายเป็นเครื่องมือในการขยายโอกาสทางธุรกิจ ช่วยเพิ่มจำนวนนักธุรกิจขายตรง ที่ประหยัดเวลา สะดวกและรวดเร็ว
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบกับธุรกิจขายตรงไทยในปีนี้ คือ ภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ธุรกิจขายตรงหลอกลวงอาจจะส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรงบ้าง แต่เชื่อมั่นว่า ธุรกิจขายตรงมีความแข็งแกร่ง
นอกจากนี้เตรียมจัดงาน “TDSA AWARD 2017” ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2560 ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ ชั้น 1 อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เพื่อเชิดชูเกียรติแก่นักธุรกิจอิสระของบริษัทสมาชิกในฐานะ “นักธุรกิจขายตรงดีเด่น” ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจรรยาบรรณและจริยธรรมที่ดี รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของวิชาชีพขายตรง และยกระดับภาพลักษณ์ของนักธุรกิจขายตรง คาดจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,500 คน – สำนักข่าวไทย