ยูเครน

โตเกียว 2 มี.ค. – สื่อของญี่ปุ่นรายงานว่า มีชายชาวญี่ปุ่นราว 70 คนที่ตอบรับคำร้องของรัฐบาลยูเครนในการขอรับอาสาสมัครต่างชาติเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อต้านทานการบุกโจมตียูเครนของรัสเซีย หนังสือพิมพ์ไมนิจิ ชิมบุน ของญี่ปุ่น รายงานอ้างบริษัทที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องอาสาสมัครของญี่ปุ่นว่า มีชายชาวญี่ปุ่นราว 70 คนที่ยื่นสมัครเป็นอาสาสมัครต่างชาติเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อต้านการบุกโจมตียูเครนของรัสเซียนับถึงวันอังคาร ในจำนวนนี้ มีชาวญี่ปุ่นมากถึง 50 คนที่เป็นอดีตสมาชิกกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ขณะที่โฆษกสถานทูตยูเครนประจำญี่ปุ่นยอมรับว่ามีชาวญี่ปุ่นโทรแจ้งสถานทูตว่าต้องการเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อปกป้องยูเครน แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องการรับอาสาสมัครดังกล่าว ในขณะเดียวกัน สถานทูตยูเครนประจำญี่ปุ่นระบุผ่านทวิตเตอร์ในวันนี้ว่า สถานทูตกำลังเปิดรับอาสาสมัครที่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ไอที การสื่อสาร หรือผู้ที่มีประสบการณ์ด้านดับเพลิง แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นการเปิดรับอาสาสมัครที่อยู่ในยูเครนหรืออาสาสมัครนอกประเทศที่ต้องเดินทางไปยูเครน ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นได้แจ้งเตือนให้พลเรือนญี่ปุ่นงดเดินทางไปยูเครนโดยไม่มีข้อแม้ และนายฮิโรกาซุ มัตสึโนะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้เน้นย้ำในวันนี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังเฝ้าระวังเกี่ยวกับรายงานเรื่องอาสาสมัครดังกล่าว ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้เรียกร้องให้มีการจัดตั้งกองกำลังทหารระหว่างประเทศเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งทำให้มีชาวอเมริกันและแคนาดาหลายสิบคนเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร.-สำนักข่าวไทย

สหประชาชาติ 2 มี.ค.- ประเทศส่วนใหญ่ในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็น (UN) ตำหนิรัสเซียเรื่องรุกรานยูเครนและขอให้ยูเอ็นออกมติเรียกร้องให้รัสเซียยุติการใช้ปฏิบัติการทางการทหารในยูเครนโดยทันทีและถอนกำลังทหารรัสเซียทั้งหมดออกไป มตินี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาคมโลก สมาชิกสมัชชาใหญ่ยูเอ็น 193 ประเทศจะลงมติญัตติในบ่ายวันพุธตามเวลานิวยอร์ก หลังจากเอกอัครราชทูต 120 ประเทศเสร็จสิ้นการกล่าวสุนทรพจน์แสดงจุดยืนในเรื่องนี้ เนื้อหาในญัตติประณามเบลารุสที่ข้องเกี่ยวกับการใช้กำลังกับยูเครนอย่างผิดกฎหมาย และเรียกร้องให้เบลารุสปฏิบัติตามพันธกิจสากล ข้อมูลจนถึงค่ำวันอังคารพบว่า มี 94 ประเทศให้การสนับสนุน ในจำนวนนี้มีอัฟกานิสถานและเมียนมารวมอยู่ด้วย ขณะที่เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือและคิวบากล่าวโทษสหรัฐและชาติตะวันตกว่า เป็นต้นเหตุของวิกฤตยูเครน เพราะพยายามขยายองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโตไปทางตะวันออกจนประชิดพรมแดนรัสเซียและจัดส่งอาวุธให้ยูเครน โดยไม่สนใจความกังวลเรื่องความมั่นคงของรัสเซีย สหรัฐและชาติตะวันตกเสนอญัตติลักษณะเดียวกันต่อคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นหรือยูเอ็นเอสซีเมื่อสัปดาห์ก่อน เรียกร้องให้รัสเซียยุติการใช้กำลังทหารต่อยูเครนโดยทันทีและถอนทหารทั้งหมดออกไป แต่ถูกรัสเซียใช้สิทธิยับยั้งหรือวีโต้ ขณะที่จีน อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์งดออกเสียง ทำให้มติที่มีเสียงสนับสนุน 11 วีโต้ 1 เสียง จากสมาชิกทั้งหมด 15 ประเทศเป็นอันตกไป.-สำนักข่าวไทย

วอชิงตัน 2 มี.ค.- ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ใช้การแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา หรือ “สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน” ประณามประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เรื่องรุกรานยูเครน ประธานาธิบดีแถลงต่อสภาเมื่อค่ำวันอังคารตามเวลาสหรัฐ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่รับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคมปีก่อน โดยเขาขอให้ทุกคนยืนขึ้นปรบมือเพื่อแสดงความสนับสนุนชาวยูเครนที่กำลังเผชิญการรุกรานจากรัสเซีย และเปิดฉากวิจารณ์ประธานาธิบดีปูตินว่า คำนวณสถานการณ์ผิดอย่างร้ายแรง ขณะนี้เศรษฐกิจรัสเซียกำลังซวนเซ ทั้งหมดต้องโทษปูตินที่คิดว่า บุกเข้าไปในยูเครนแล้วโลกจะเปลี่ยนไป แต่กลับเจอกำแพงแห่งความแข็งแกร่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน และชาวยูเครนทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงความไม่กลัว ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งโลก สงครามของปูตินเป็นสิ่งที่ไตร่ตรองไว้ก่อนทั้งที่ไม่มีการยั่วยุ ปูตินไม่ยอมรับความพยายามทางการทูต และคิดผิดว่าชาติตะวันตกและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต จะไม่ตอบโต้ ผู้นำสหรัฐประกาศด้วยว่า สหรัฐจะห้ามเครื่องบินรัสเซียเข้าน่านฟ้า เช่นเดียวกับที่หลายประเทศได้ดำเนินการแล้ว ด้านนางจิล ไบเดน สตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ ได้เชิญนางออคซานา มาร์คาโรวา เอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐ เดินทางพร้อมกับขบวนรถของประธานาธิบดีจากทำเนียบประธานาธิบดี มาเป็นแขกรับเชิญในการแถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา ขณะเดียวกันผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสที่เสร็จสิ้นในวันเดียวกันพบว่า ผู้ตอบร้อยละ 43 พอใจท่าทีของประธานาธิบดีไบเดนที่มีต่อรัสเซีย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34 […]

กัวลาลัมเปอร์ 2 มี.ค. – มาเลเซียจะไม่อนุญาตให้เรือบรรทุกน้ำมันของรัสเซียที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตรเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือกัวลาสุไหงลิงกีของมาเลเซีย ท่ามกลางกระแสกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางธุรกิจที่เชื่อมโยงกับรัสเซีย เพื่อตอบโต้ที่รัสเซียนำกำลังทหารบุกยูเครน กระทรวงคมนาคมของมาเลเซียระบุในแถลงการณ์วันนี้ว่า เจ้าหน้าที่ของท่าเรือกัวลาสุไหงลิงกีได้ตัดสินใจปฏิเสธคำขอจอดเทียบท่าของเรือบรรทุกน้ำมัน ‘ลินดา’ (Linda) ของรัสเซียที่ถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ เนื่องจากมาเลเซียไม่ต้องการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ ทั้งยังระบุว่า กระทรวงฯ จะประเมินสถานการณ์ต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายปัจจุบันของรัฐบาลมาเลเซีย แต่ไม่ได้เปิดเผยจุดยืนของรัฐบาลต่อการคว่ำบาตรของสหรัฐ ก่อนหน้านี้ มาเลเซียได้ออกแถลงการณ์แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ขัดแย้งในยูเครน แต่ไม่ได้ประณามการกระทำของรัสเซีย รวมถึงไม่ได้แสดงความเห็นต่อการใช้มาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติหลังรัสเซียนำกำลังทหารบุกโจมตียูเครน ทั้งนี้ กลุ่มผู้สนับสนุนสหรัฐเชื่อว่าเรือลำดังกล่าวบรรทุกน้ำมันดิบของอิหร่าน ซึ่งถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ ดร. ยวน แกรห์ม นักวิจัยระดับสูงของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ (IISS) ของอังกฤษ เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวของกระทรวงคมนาคมมาเลเซียที่ระบุถึงการตัดสินใจปฏิเสธคำขอจอดเทียบท่าโดยเจ้าหน้าที่ท่าเรือแทนที่จะเป็นรัฐบาลมาเลเซีย แสดงให้เห็นว่ามาเลเซียสงวนท่าทีโดยยืนอยู่ตรงกลางระหว่างรัสเซียกับสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่จะต้องพยายามสร้างความสมดุลระหว่างสองประเทศใหญ่ แต่สงสัยว่า สหรัฐกำลังพยายามกดดันมาเลเซียอย่างหนักให้ยอมรับในมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย.-สำนักข่าวไทย