ฟีฟ่า-อินโดนีเซียจะปรับปรุงความปลอดภัยสนามฟุตบอล
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า (FIFA) และอินโดนีเซียเห็นพ้องกันเรื่องทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสนามฟุตบอลทั่วอินโดนีเซีย หลังจากเกิดเหตุจลาจลและเบียดกันตายมากกว่า 130 คน
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า (FIFA) และอินโดนีเซียเห็นพ้องกันเรื่องทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสนามฟุตบอลทั่วอินโดนีเซีย หลังจากเกิดเหตุจลาจลและเบียดกันตายมากกว่า 130 คน
จาการ์ตา 5 ต.ค.- สมาคมฟุตบอลแห่งอินโดนีเซียเผยว่า ความล่าช้าในการเปิดประตูทางออกที่สนามฟุตบอลซึ่งเกิดจลาจลหลังจบการแข่งขันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก สมาคมฯ แถลงเมื่อวันอังคารว่า ยอดผู้เสียชีวิตมีไม่ต่ำกว่า 130 คน สมาคมฯ มีคำสั่งแบนเป็นการถาวรกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ประสานงานความปลอดภัยของสโมสรอาเรมา เอฟซี ซึ่งเป็นเจ้าบ้านนัดที่เกิดเหตุแล้ว โทษฐานไม่ดูแลความปลอดภัยของสนามแข่งขันและไม่รีบสั่งเปิดประตูทางออกอย่างทันท่วงที ประตูทั้งหมดควรต้องเปิดล่วงหน้า 10 นาทีก่อนจบการแข่งขัน แต่ในวันที่เกิดเหตุ หลายประตูยังคงปิดอยู่ทั้งที่กรรมการเป่านกหวีดจบการแข่งขันไปแล้ว 7 นาที คนเปิดประตูมีไม่กี่คนและไปไม่ถึงหลายประตูในช่วงที่ผู้ชมเริ่มยื้อแย่งกันหนีแก๊สน้ำตาที่ตำรวจยิงสกัดแฟนฟุตบอลที่พยายามลงไปในสนาม ด้านตำรวจยังคงยืนยันในวันเดียวกันโดยอ้างภาพจากกล้องวงจรปิดที่ประตูทางออก 6 ประตูจากทั้งหมด 14 ประตู ซึ่งเป็นจุดที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุดว่า ประตูไม่ได้ปิดแต่แคบมาก สามารถออกได้คราวละ 2 คน แต่มีคนพยายามหนีออกพร้อม ๆ กันจำนวนมาก ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้จัดการแข่งขัน สำนักข่าวเอพีรายงานอ้างภาพถ่ายจากสนามมาลัง จังหวัดชวาตะวันออกที่เกิดเหตุจลาจลว่า ประตูทางออก 1 ประตู ประกอบด้วยบานประตู 4 บาน สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า (FIFA) และสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชียหรือเอเอฟซี (AFC) มีคำแนะนำไว้ว่า ควรต้องปิดประตูทางออกตลอดการแข่งขันเพื่อความปลอดภัย และห้ามใช้แก๊สน้ำตาเป็นเครื่องมือควบคุมฝูงชน อย่างไรก็ดี มาตรฐานความปลอดภัยนี้ไม่ได้บังคับใช้กับการแข่งขันภายในประเทศหรือลีกระดับประเทศ.-สำนักข่าวไทย
จาการ์ตา 4 ต.ค.- อินโดนีเซียเปิดการสอบสวนตำรวจที่เกี่ยวข้องในเหตุจลาจลที่สนามฟุตบอล ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากถึง 125 คน และเป็นโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่า มีการย้ายนายตำรวจท้องถิ่นเมืองมาลัง จังหวัดชวาตะวันออก สั่งพักงานตำรวจ 9 นาย และสอบสวนตำรวจอีก 19 นาย การลงโทษนี้มีขึ้นหลังจากกระแสสังคมเริ่มไม่พอใจมากขึ้น เมื่อผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า เหตุจลาจลที่ทำให้คนเบียดและเหยียบกันเสียชีวิตเกิดจากเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาไปยังอัฒจรรย์ที่มีผู้ชมนั่งอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อสกัดไม่ให้แฟนฟุตบอลลงมาที่สนาม แฟน ๆ สโมสรอาเรมา เอฟซี ซึ่งเป็นทีมเจ้าบ้านนัดที่เกิดเหตุได้ตั้งศูนย์ชั่วคราวในเมืองมาลังเมื่อวันจันทร์เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและจะยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ว่าทำให้คนจำนวนมากเสียชีวิต เพราะยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชมที่อยู่ในพื้นที่จำกัดอย่างไม่เลือกหน้า ตำรวจระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุจลาจล และมีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ 2 นาย แต่ผู้อยู่ในเหตุการณ์แย้งว่า ตำรวจควรยิงแก๊สน้ำตาไปที่สนามที่กำลังเกิดการจลาจล ไม่ใช่ยิงมาที่คนดูบนอัฒจรรย์ ผู้เสียชีวิตหลายคนคือคนบนอัฒจรรย์ที่วิ่งหนีแก๊สน้ำตาอย่างแตกตื่นจนเกิดการเบียดกันตาย กระทรวงคุ้มครองเด็กและสตรีแจ้งว่า มีเด็ก 32 คนรวมอยู่ในผู้เสียชีวิต ในจำนวนนี้มีทารกวัยเพียง 3-4 ปีด้วย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงว่า สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลผู้เสียชีวิตได้ครบหมดแล้ว.-สำนักข่าวไทย
จาการ์ตา 2 ต.ค.- เหตุจลาจลที่สนามฟุตบอลอินโดนีเซียหลังจบการแข่งขันเมื่อคืนวันเสาร์มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 174 คนแล้ว ส่วนใหญ่เสียชีวิตเพราะถูกเบียดและเหยียบ หลังจากตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชนจนผู้คนวิ่งหนีกันอย่างโกลาหล เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อแฟนฟุตบอลทีมอาเรมา เอฟซี ของเมืองมาลัง ที่เป็นเจ้าบ้าน ผิดหวังที่ทีมพ่ายให้แก่ทีมเปอร์เซบายา สุราบายาไป 2 ต่อ 3 ประตู จึงพากันขว้างปาขวดน้ำและสิ่งของใส่นักฟุตบอลและเจ้าหน้าที่ แล้วลงไปประท้วงเต็มสนามคันจูรูฮัน เรียกร้องให้คณะบริหารของทีมชี้แจงว่า เหตุใดทีมที่ไม่เคยแพ้ในบ้านมาตลอด 23 ปี จึงจบเกมด้วยสกอร์ดังกล่าว เหตุจลาจลลุกลามออกไปนอกสนาม มีการเผาทำลายรถตำรวจอย่างน้อย 5 คัน ด้านตำรวจปราบจลาจลตอบโต้ด้วยการยิงแก๊สน้ำตา และมีการยิงไปยังผู้คนที่อัฒจรรย์ด้วย ทั้งที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า (FIFA) มีกฎห้ามใช้แก๊สน้ำตาในสนามฟุตบอล ทำให้คนในสนามแห่วิ่งหนีไปยังทางออกเพื่อหนีแก๊สน้ำตา จนเกิดการเบียดกันมีทั้งคนหายใจไม่ออกและคนถูกเหยียบ รายงานระบุว่า มีคนเสียชีวิตในสนามฟุตบอล 34 คน บางรายงานระบุว่ามีเด็กรวมอยู่ด้วย ผู้บัญชาการตำรวจชวาตะวันออกแถลงข่าวในเช้าวันนี้ว่า ตำรวจได้ดำเนินมาตรการป้องกันแล้ว ก่อนตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาในที่สุด เนื่องจากแฟนฟุตบอลเริ่มทำร้ายตำรวจ กระทำการอย่างไร้ขื่อแป และเผายวดยาน ผู้บาดเจ็บมากกว่า 300 คนถูกส่งไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลใกล้เคียง แต่หลายคนเสียชีวิตระหว่างทางและระหว่างการรักษา ด้านรองผู้ว่าราชการจังหวัดชวาตะวันออกเผยกับคอมปาสทีวีว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 174 คนแล้ว […]
ไล่ไทม์ไลน์ การชุมนมกลุ่มเด็กวัยรุ่น ที่ประกาศว่าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมอิสระ เริ่มป่วนแยกดินแดงตั้งแต่ 4 โมงเย็น เจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง กดดัน เวลา 19.30 น. เปิดการจราจรได้แล้ว
สถานการณ์ชุมนุมบริเวณสามแยกดินแดง กลุ่มวัยรุ่นปาประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปองใส่เจ้าหน้าที่ มีไทยมุงร่วมดูเหตุการณ์โดยไม่กลัวโดนลูกหลง
ตำรวจควบคุมฝูงชน สาธิตทดสอบการยิงแก๊สน้ำตา โดยจำลองการยิงด้วยปืนยิงแก๊สน้ำตาในระยะ 100 เมตร ยืนยันปลอกกระสุนโลหะติดอยู่กับปืน หลังมีการเผยแพร่ข่าวปลอมผ่านทางสื่อโซเชียล ว่าผู้ชุมนุมถูกกระสุนแก๊สน้ำตายิงเข้าที่ใบหน้าได้รับบาดเจ็บสาหัส
กำลังตำรวจ อคฝ. เข้ากระชับพื้นที่ บริเวณแยกดินแดน ตั้งแต่เวลา 18.20 น. มีการยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ ขณะที่เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว ออกกดดันผู้ชุมนุมที่ขี่จักรยานยนต์เข้าไปรวมตัวกันตามซอย ส่วนจราจรบริเวณแยกดินแดง ปิดมาตั้งแต่ เวลา 16.00 น.
ตำรวจควบคุมฝูงชนยิงแก๊สน้ำตา ยึดพื้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิได้แล้ว 100% ด้านผู้ชมนุมแตกกระจายออกไป 2 ทิศทาง แต่ยังมีปะทะ บริเวณถนนราชวิถี หน้า รพ.พระมงกุฏเกล้า
รองโฆษก ตร. ยอมรับตำรวจ คฝ. ใช้กระสุนยาง-แก๊สน้ำตา ยิงใส่ผู้ชุมนุมบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง เนื่องจากผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคำแจ้งเตือนของเจ้าหน้าที่
ปิดการจราจรแยกดินแดง หลังผู้ชุมนุมพยายามเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ พร้อมยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอยออกมาจากแนวตู้คอนเทนเนอร์แล้ว
ทีมโฆษก ตร. และ บช.น. แถลงสรุปสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง 18 ก.ค. สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ 13 ราย พร้อมขอโทษสื่อมวลชนถูกลูกหลงกระสุนยางของตำรวจ