ชี้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ส่งผลดีผู้ใช้บัตรทอง

กทม. 7 พ.ค.- สปสช. กทม. ชี้นโยบาย 30 บาทรักษาที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ เป็นผลดีกับผู้ใช้สิทธิบัตรทองในปริมณฑลที่ทำงานใน กทม.


ผู้อำนวยการ สปสช.เขต 13 กทม. ชี้นโยบายยกระดับบัตรทอง 30 บาทรักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ เป็นผลดีกับประชาชนในพื้นที่รอยต่อปริมณฑลที่ทำงานใน กทม. ช่วยให้รับการรักษาเมื่อเจ็บป่วยได้สะดวก ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวหรือกลับไปรับบริการในพื้นที่ตัวเอง ส่วนผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน กทม. ไปรับบริการข้ามเขตที่ไหนก็ได้ตั้งแต่ปี 2564 แล้ว และไม่พบสัญญาณว่ามากอย่างที่กังวลกัน

ดร.ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กทม. กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในการยกระดับบัตรทอง 30 บาทรักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2565 แก่ประประชาชนโดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมาว่า นโยบายนี้ถือเป็นการทลายกำแพงการเข้าถึงบริการของผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ทำให้ผู้ที่เดินทางไปทำธุระ ท่องเที่ยว หรือทำงานในต่างพื้นที่แล้วมีเหตุจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล เช่น เจ็บป่วยกระทันหัน ต้องทานยาต่อเนื่องแล้วยาหมดพอดี หรือปวดฟัน เหงือกบวม ต้องพบทันตแพทย์ ฯลฯ สามารถเข้าไปรับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิที่อยู่ในเครือข่ายของ สปสช.ได้เลย โดยไม่จำกัดว่าต้องมีใบส่งตัวหรือต้องเดินทางกลับไปรับบริการในพื้นที่ที่ตัวเองลงทะเบียนไว้


ดร.ทพ.วิรัตน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของพื้นที่ กทม. มีการเปิดให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถเข้าไปรับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิในลักษณะข้ามเขตได้ตั้งแต่ปี 2564 แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ในปี 2563 มีกรณีการยกเลิกสัญญาหน่วยบริการที่มีความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงินค่าบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบแก่ประชาชนจึงอนุโลมให้ผู้ที่หน่วยบริการประจำของตัวเองถูกยกเลิกสัญญา สามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้ จากนั้นเมื่อมีการรับสมัครหน่วยบริการใหม่ ก็ถือโอกาสจัดระบบบริการแบบใหม่โดยให้ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. เป็นหน่วยบริการประจำให้แก่ผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน กทม. ส่วนหน่วยบริการที่ทำสัญญากับ สปสช. ชุดใหม่ จะเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิภายใต้หน่วยบริการประจำ ในลักษณะเป็นเครือข่ายหรือพวงบริการในเขตนั้นๆ ประกอบกับขณะนั้นเป็นช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ 2564 และอยู่ระหว่างเพิ่มจำนวนหน่วยบริการปฐมภูมิชุดใหม่ บางพื้นที่มีหน่วยบริการน้อยแต่จำนวนประชากรมาก ถ้ารอรับบริการเฉพาะในพื้นที่นั้นก็อาจติดขัด เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนจึงเกิด Model 5 คือ ให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน กทม. สามารถไปรับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิในเครือข่าย สปสช. ที่ไหนก็ได้ โดยเบิกจ่ายตามรายการบริการ หรือ fee schedule กว่า 3,000 รายการ

“จะเห็นว่าในพื้นที่ กทม. เรานำร่องดำเนินการอยู่แล้ว พอปีใหม่ 2565 มีนโยบายยกระดับบัตรทอง 30 บาทรักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศออกมา สิ่งที่ขยายขอบเขตคือจากเดิมที่ผู้ใช้สิทธิบัตรทองไปรับบริการในเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิของตนเองใน กทม. ก็ปรับเป็นรับบริการข้ามเขตสุขภาพได้ เช่น ประชาชนจากเขตใกล้เคียงอย่าง สระบุรี ราชบุรี ระยอง ถ้าเข้ามาใน กทม. แล้วเจ็บป่วย ก็มาเข้ารับบริการในหน่วยบริการปฐมภูมิได้โดยไม่ต้องมีใบส่งตัว แบบนี้จะเป็นประโยชน์กับประชาชนจากเขตอื่นๆ ตามรอยต่อของปริมณฑล เพราะจะมีบางส่วนที่ทำงานใน กทม. เช้านั่งรถมาทำงาน เย็นนั่งรถกลับ กว่าจะถึงบ้านก็มืดแล้ว รพ.สต.ปิดแล้ว แต่พอมีนโยบายนี้ก็สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการใน กทม. ได้ ซึ่งขณะนี้เริ่มมาได้ 3 เดือนยังอยู่ระหว่างเก็บตัวเลขสถิติข้อมูล แต่เท่าที่มีในปัจจุบันยังไม่มีการร้องเรียนใดๆ” ดร.ทพ.วิรัตน์ กล่าว

ดร.ทพ.วิรัตน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับบริการนั้น ตั้งแต่ปี 2564 สปสช.เขต 13 ได้จัดทำตัวชี้วัดเพื่อดูว่ามีโอกาสที่คนไข้จะไป shopping around หรือไปรับบริการไปทั่ว ไปคลินิกนั้นทีคลินิกนี้ทีหรือไม่ อย่างไรก็ดี พบว่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการชุดเก่าในปี 2563 แล้ว ไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในการรับบริการนอกเครือข่ายหน่วยบริการหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับบริการของประชาชน โรงพยาบาลใหญ่ๆ ก็ไม่ได้มีคนไปรับบริการมากขนาดนั้น แต่ก็ต้องติดตามดูในระยะยาวด้วยเนื่องจาก 2 ปีมานี้เกิดการระบาดของโควิด-19 จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่เห็นภาพการไปรับบริการในสถานการณ์ปกติได้ ต้องดูว่าเมื่อสถานการณ์การระบาดสงบลงแล้วทิศทางพฤติกรรมการรับบริการจะเป็นอย่างไรต่อไป


ทั้งนี้ปัจจุบันในพื้นที่ สปสช.เขต 13 กทม. มีหน่วยบริการปฐมภูมิ ซึ่งประกอบด้วยศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น หน่วยบริการปฐมภูมิในโรงพยาบาลใหญ่ๆ มีประมาณ 300 แห่ง แต่ยังมีหน่วยร่วมบริการ เช่น หน่วยร่วมบริการด้านเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกพยาบาลและผดุงครรภ์ และร้านยา จะมีเพิ่มขึ้นอีก 600 กว่าแห่ง เฉพาะร้านยามี 488 แห่ง คลินิกเวชกรรม 102 แห่ง คลินิกทันตกรรม 28 แห่ง โดยรวมระบบบริการมีหน่วยบริการกว่า 955 แห่ง หากเป็นผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่ลงทะเบียนกับ สปสช. กทม. จะรู้ว่าหน่วยบริการปฐมภูมิของตัวเองอยู่ที่ไหน หน่วยบริการประจำอยู่ที่ไหน หน่วยบริการรับส่งต่ออยู่ที่ไหน และมีความคุ้นเคยกับคลินิกชุมชนอบอุ่นซึ่งจะมีจะมีป้ายสัญลักษณ์ สปสช. เพราะฉะนั้นถ้าเคยใช้บริการคลินิกชุมชนอบอุ่นมาก่อน ผู้ใช้สิทธิจะรู้อยู่แล้วว่าถ้าเห็นป้ายสัญลักษณ์แบบนี้ก็สามารถเข้าไปรับบริการได้เลย อย่างไรก็ดี ในส่วนของประชาชนที่อาจจะมาจากพื้นที่อื่นๆ สปสช.เขต 13 กทม. จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบเป็นระยะๆ รวมทั้งจะเพิ่มการประชาสัมพันธ์หน่วยร่วมให้บริการ เช่น หน่วยร่วมบริการด้านเวชกรรม คลินิกทันตกรรม ร้านยา ให้มากขึ้น แต่ให้สังเกตง่ายๆ คือหน่วยบริการที่มีป้ายคำว่าชุมชนอบอุ่นต่อท้ายก็เข้าไปรับบริการได้

สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง ได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ ทั้งไลน์ สปสช. (ไลน์ไอดี @nhso) หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย

กทม. 18 ก.ย.-เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย คาดไฟฟ้าลัดวงจรและลุกลามไปยังห้องข้างเคียง ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรง เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุห้องอาหาร 50 จากตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้ามีเพลิงไหม้ (ไฟฟ้าลัดวงจร) และลุกลามไปยังพื้นที่ข้างเคียงตึกกองบัญชา บกทท. บริเวณชั้น6 ข้างห้อง เสธนาธิการทหาร เจ้าหน้าที่เวรยาม และสารวัตรทหาร ได้ช่วยกันใช้ถังดับเพลิงในการดับเพลิงแต่ไม่สามารถเข้าถึงต้นเพลิงในการระงับดับไฟได้ จึงได้ประสานรถตับเพลิงและขอส่วนสนับสนุนรถดับเพลิง นทพ. มาช่วยในการระดับดับเพลิง โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบและดำเนินการระงับเหตุในทันที เบื้องต้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ทั้งนี้ ยังไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างอาคารแต่อย่างใด กองบัญชาการกองทัพไทย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนและสื่อมวลชนรับทราบต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ

กทม. 18 ก.ย.-โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ ขณะ “นายกฯ หนู” ยังนั่งดินเนอร์อาหารอีสานอย่างสบายใจ ท่ามกลางข่าวลือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 ก.ย. มีกระแสข่าวลือว่ากระบวนการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีปัญหา ถูกตีกลับ เนื่องจากพบรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีบางคน ติดปัญหาคุณสมบัตินั้น ล่าสุด แหล่งข่าว ยืนยันว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรี ที่นำทูลเกล้าฯไปนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่ย่างใด ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยเรื่องคุณสมบัติ ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วง ค่ำวันนี้ (17 ก.ย.) ปรากฏภาพ นายอนุทิน นั่งรับประทานอาหารอีสานอย่างสบายใจ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งกับคนใกล้ชิด ท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้น.-319.-สำนักข่าวไทย

“รังสิมันต์” เบรกกัมพูชากลางวง AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนปมเปิดด่าน

มาเลเซีย 17 ก.ย.- “รังสิมันต์” เบรกกัมพูชา กลางวงประชุม AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนประเด็นขัดแย้งไทย-กัมพูชา หารือปมเปิดด่าน หวั่นเป็นประเด็นการเมือง-ละเอียดอ่อน ชี้ มีกระบวนการ IOT และ GBC อยู่แล้ว นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยในการประชุมคณะกรรมการบริหาร AIPA กล่าวถึงข้อเสนอของกัมพูชาผ่านเวที AIPA ว่าเป็นการเสนอในระยะเวลากระชั้นชิดเป็นช่วงสุดท้าย ที่เปิดให้ประเทศสมาชิกเสนอวาระเร่งด่วนได้ ดังนั้นทีมไทยแลนด์ที่นำโดยนายฉลาด ขามช่วง เมื่อทราบ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาจึงได้เตรียมการในเรื่องนี้ ซึ่งจากเดิมได้เรียกร้อง 2 ข้อ คือ 1. เรื่องเฉลยศึก ที่ทหารกัมพูชาถูกควบคุมตัว ในช่วงเวลาที่มีการปะทะ และ 2. เรื่องการเปิดด่านชายแดน แต่ท้ายที่สุดทางกัมพูชากลับเรียกร้องบนเวที AIPA เพียงเรื่องการเปิดด่านชายแดนเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงหยิบยกมาเพียงเรื่องนี้ ในเมื่อกระบวนการของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ผ่านไป และค่อนข้างราบรื่น ดังนั้นการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยอีกครั้ง จากการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี ระหว่างไทย และ […]

แม่ใจสลาย รับร่างลูกสาววัย 2 เดือนถูกพิตบูลขย้ำ ส่งชันสูตร

อุทัยธานี 17 ก.ย. – ครอบครัวเศร้า ติดต่อรับร่างลูกสาววัย 2 เดือน ส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังถูกสุนัขพิตบูลลากไปขย้ำหัว ขณะแม่ไปเก็บของเก่าภายในโรงสี เจ้าของคาดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของเล่น นายฉัตรมงคล สุวรรณเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยมารดาของ ด.ญ.กัญญาภัทร อายุเพียง 2 เดือน ผู้เสียชีวิตจากการถูกสุนัขพันธุ์พิตบูลกัด รวมถึงญาติ เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองฉาง จ.อุทัยธานี ก่อนนำร่างส่งชันสูตร หาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วานนี้ (16 ก.ย.) ที่โรงรถของบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ หมู่ 15 บ้านโรงสีใหม่ ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบร่างเด็กน้อย อยู่บริเวณรางระบายน้ำ เจ้าของบ้านนำร่างเด็ก ส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่เกิดเหตุ ยังพบคราบเลือดและร่องรอยลากยาวราว 6 เมตร ไปถึงรางระบายน้ำ นอกจากนี้ ยังพบรถเข็นเด็ก พร้อมของเล่น […]

ข่าวแนะนำ

เปิดภาพสายลับเขมรปลอมเป็นพระ ร่วมป่วนชายแดนสระแก้ว

สระแก้ว 18 ก.ย. – เปิดภาพสายลับกัมพูชาปลอมเป็นพระสงฆ์ ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ร่วมก่อความวุ่นวายชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว จนท.ฝ่ายไทยเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้น เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตรวจพบความเคลื่อนไหวสำคัญ โดยมีกลุ่มทหารกัมพูชา พร้อมด้วยกำนันลี บุคคลสำคัญในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา ได้เกณฑ์ชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านใกล้ชายแดนเข้ามาในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว คาดหมายว่า การรวมกลุ่มครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมเข้ารื้อถอนรั้วลวดหนาม ที่ฝ่ายไทยเพิ่งติดตั้งเสริมความมั่นคงตลอดแนวชายแดน ขณะเดียวกันฝ่ายความมั่นคงไทยได้ส่งโดรนบินตรวจการณ์เหนือพื้นที่ พบว่าฝั่งกัมพูชามีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ชาวบ้านเริ่มรวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้น และมีสัญญาณว่ามีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ โดยไม่ใช่การรวมตัวตามธรรมชาติของชาวบ้านทั่วไป สายลับกัมพูชาปลอมเป็นพระ ร่วมชุมนุมที่น่ากังวลไปกว่านั้นเจ้าหน้าที่ไทยสามารถยืนยันได้ว่ามีทหารสายลับของกัมพูชาปลอมตัวเป็นพระสงฆ์ปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม โดยใช้ผ้าเหลืองบังหน้าเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย ถือเป็นยุทธวิธีในการแทรกซึมและสอดแนมการทำงานของฝ่ายไทย ทั้งยังเสี่ยงต่อการสร้างสถานการณ์ บิดเบือนหากเกิดการเผชิญหน้า ด้านกองกำลังบูรพาและหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้น เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน และชุดควบคุมฝูงชน ยังคงตรึงกำลังตลอดแนวชายแดน เพื่อป้องกันการรุกล้ำพื้นที่ โดยพฤติกรรมของฝั่งกัมพูชาในระยะนี้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดตั้งที่มี “ผู้ชี้นำเบื้องหลัง” คอยปลุกระดมและผลักดันชาวบ้านให้เข้ามาเคลื่อนไหว อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารื้อรั้วลวดหนาม หรือการปะทะกับเจ้าหน้าที่ไทย ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงยืนยันการปฏิบัติในกรอบสากล ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง ยกเว้นในกรณีที่ถูกบุกรุกหรือคุกคามความมั่นคงโดยตรง ด้านเพจ army military force ได้โพสภาพพร้อมข้อความวัยรุ่นเขมรโพสต์รูปพร้อมแคปชั่นท้าทาย “ไม่กลัวแก๊สนํ้าตาของพวกเสียม ถ้าแน่จริงก็ใช้มันเลย วันนี้ผมใส่หน้ากากครอบทั้งหน้า ไม่หวั่นกลัวสิ่งใดๆ ขอเพียงใช้แค่แก๊สนํ้าตาพอ กระสุนยางไม่ต้อง […]

รอง ผบ.ตร. ลั่นรุกล้ำเขตแดนไทย จับกุมทันที

สระแก้ว 18 ก.ย. – รอง ผบ.ตร. ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว ปรับแผนเตรียมรับมือ ป้องกันเหตุบานปลาย จ่อใช้กฎหมายดำเนินคดี ลั่นรุกล้ำเขตแดนไทย จับกุมทันที หลังจากเมื่อวานนี้ (17 ก.ย.) ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ช่วงบ่ายวันนี้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมกับติดตามสถานการณ์ร่วมกับนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว และกรมป่าไม้ ณ ที่ว่าการอำเภอโคกสูง เพื่อปรับแผนเตรียมรับมือหากเกิดความไม่สงบขึ้น หลังจากการประชุม เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.ไกรบุญ เปิดเผยว่า การเดินทางลงพื้นที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เพื่อหาวิธีไม่ให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ แนวทางการปฏิบัติคือจะใช้กฎหมายจับกุมดำเนินคดีตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก ขอให้มั่นใจว่าจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยจะใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง เป็นกฎหมายนำในการดำเนินคดี เมื่อมีการรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยจะจับกุมทันที และยังคงเน้นย้ำให้กำลังพลอดทนอดกลั้น รวมถึงอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อระบุตัวตนและดำเนินคดีกับผู้ที่ก่อความวุ่นวาย ด้านชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาตลอดชีวิตหนนี้เป็นหนที่ 3 ที่เกิดความวุ่นวายขึ้น ก่อนหน้านี้มีชาวกัมพูชาอพยพมาอาศัยอยู่หมู่บ้านจำนวนมาก […]

เร่งล่าโจรบุกเดี่ยวชิงทอง ใช้มีดจี้ลูกค้าเป็นตัวประกัน

สระบุรี 18 ก.ย. – ตำรวจเร่งล่าตัวคนร้ายบุกเดี่ยวชิงทอง ใช้มีดจี้ลูกค้าเป็นตัวประกัน บังคับเจ้าของร้านหยิบทองใส่ถุงผ้า มูลค่ากว่า 2 แสนบาท ก่อนออกจากร้านซิ่งรถจักรยานยนต์หลบหนีไป วงจรปิดร้านทองภายในตลาดใหม่ท่าลาน ริมถนนสายท่าลาน-ห้วยบง ต.บ้านครัว อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี จับภาพคนร้ายเป็นชายสวมหมวกกันน็อกสีแดง สวมเสื้อคลุมแขนยาวสีครีม กางเกงยีน รองเท้าเตะ ใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้ลูกค้าในร้านเป็นตัวประกัน เพื่อบังคับให้เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงสูงอายุ ส่งเงินและทองให้ ตอนแรกเจ้าของร้านพยายามเจรจาต่อรอง แต่คนร้ายต้องการเงินและข่มขู่จะฆ่าตัวประกันหากไม่ส่งทองให้ สุดท้ายเจ้าของร้านต้องหยิบทองให้คนร้ายไป เป็นสร้อยข้อมือทองคำเส้นละ 1 สลึง จำนวน 11 เส้น เป็นเงิน 220,000 บาท จากนั้นคนร้ายปล่อยตัวประกัน ก่อนจะออกจากร้านขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่นเอ็นแม็กซ์ สีเทาดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน หลบหนีไป ตำรวจ สภ.บ้านหมอ ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่ สืบสวนหาข้อมูลและกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะหลบหนี เชื่อว่าไม่นานจะจับคนร้ายได้.-สำนักข่าวไทย

ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพงเครียด ปฏิเสธโกงเงินวัด ยันไม่มีสัมพันธ์สีกา

กรุงเทพฯ 18 ก.ย. – พระครูปริยัติวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง เปิดใจเป็นครั้งแรก หลังถูกเพจดังกล่าวหาทุจริตเงินวัดและมีสัมพันธ์สีกา 3 คน ความเคลื่อนไหวภายในวัดหัวลำโพง พระอารามหลวง กลางกรุงเทพฯ ยังคงถูกจับตามอง หลังเกิดกระแสข่าวลือในสังคมออนไลน์ กล่าวหาผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดว่าอาจมีส่วนพัวพันทั้งเรื่องการบริหารจัดการเงินวัดไม่โปร่งใส และถูกเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์สีกาถึง 3 ราย จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ล่าสุด พระธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาคที่หนึ่ง ได้โทรศัพท์สอบถามให้พระครูปริยัติวัฒนกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงกับผู้สื่อข่าว ซึ่งสุดท้ายพระครูยอมเปิดใจผ่านโทรศัพท์เป็นครั้งแรก โดยระบุว่า หลังได้เห็นข่าวในโซเชียล ยอมรับว่ารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ในประเด็นแรก เรื่องการทุจริตเงินวัด พระครูฯ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยปกติหน้าที่เกี่ยวข้องกับเงินของตนเองมีเพียงรับเงินทำบุญจากญาติโยม จากนั้นก็จะส่งต่อให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนงานฌาปนกิจศพที่ตนดูแล เมื่อได้รับเงินจากเจ้าภาพก็จะทำการหักค่าแรงของคนงานออก ก่อนออกใบเสร็จยืนยัน ทุกขั้นตอนมีหลักฐานตรวจสอบได้ ส่วนข่าวลือเรื่องมีสัมพันธ์ชู้สาวกับสีกา 3 คน พระครูฯ ปฏิเสธหนักแน่นว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด โดย “นางกระแต” ที่ถูกอ้างว่าเป็นภรรยาคนแรกนั้น แท้จริงเป็นเพียงญาติโยมที่รู้จักกันมานานและจะมาทำบุญถวายสังฆทานเป็นครั้งคราวเท่านั้น ขณะที่ “นางแมว” เป็นอดีตคนงานวัด และ “นางดา” […]