รัฐสภา 1 ก.ย..-“ปธ.ชวน หลีกภัย” เปิดนิทรรศการ ‘ระบบ iSEE 2.0 ของกสศ.’ ช่วยสภาเจาะลึกปัญหาเหลื่อมล้ำ ห่วงโควิด-19 ทำเด็กยากจนเพิ่มขึ้น เสี่ยงหลุดออกจากระบบ ระบุสภาจะช่วยขับเคลื่อนวาระสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวหลังเป็นประธานเปิดนิทรรศการ “ระบบ isee 2.0 : Edtech เพื่อพัฒนานโยบายสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา” ร่วมกับนายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และดร.ไกรยส ภัทรวาท รองผู้จัดการ กสศ. ว่า โอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หนึ่งในภารกิจเร่งด่วนของทุกฝ่ายขณะนี้ คือการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะในวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับครอบครัวของเด็กและเยาวชนที่ยากจนด้อยโอกาสกว่า 1.8ล้านคน ในจำนวนนี้มีนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง3 แสน คน ทำให้เด็กๆ เหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงจะหลุดออกนอกระบบการศึกษา
สำหรับ กสศ. ในฐานะหน่วยงานตามรัฐธรรมนูญที่มีภารกิจในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาโดยตรง นอกเหนือจากให้เงินอุดหนุนแก่นักเรียนยากจนพิเศษแล้ว ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาหรือระบบ iSEE นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เป็นแหล่งข้อมูลของเด็กและเยาวชนกว่า 4 ล้านคน ที่ช่วยให้ทุกฝ่ายมองเห็นข้อเท็จจริงของสถานการณ์ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งในมิติสถานศึกษาและมิติของเด็กและเยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา
“แม้คุณภาพของการศึกษาปัจจุบันถือว่าดีขึ้นมาก แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ค่าครองชีพสูง รายได้ลดลง ระบบ iSEE 2.0 ของ กสศ. จะช่วยทำให้เรามีเครื่องมือล้วงลึกไปถึงเด็กในแต่ละครัวเรือนว่าสภาพเป็นอย่างไร เพื่อการช่วยเหลือจะได้เข้าไปถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด ผมภูมิใจมากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนโยบายให้เด็กได้ดื่มนมตามช่วงอายุ ทำให้เด็กไทยมีสัดส่วนความสูงขึ้น” ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าว
นายชวน ยังกล่าวขอสนับสนุนโครงการของ กสศ. ที่ลงไปดูแลกลุ่มเด็กที่เสียโอกาสทางการศึกษาให้เขาได้มีความสมบูรณ์ขึ้น เพื่อคนเหล่านั้นจะเป็นกำลังสำคัญของบ้านเมืองต่อไป ระบบ iSEE จะช่วยให้สภาผู้แทนราษฎร ขับเคลื่อนวาระการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาด้วยพลังของข้อมูล ลดช่องว่างระหว่างรัฐสภาและประชาชนในพื้นที่สนับสนุนการทำงานของสมาชิก การมองเห็นข้อมูลความยากจนพิเศษในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับจังหวัด และสามารถระบุมิติปัญหาต่างๆ เช่นความพิการ ทุพโภชนาการ ความเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษา ข้อมูลเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นเสียงสะท้อนวางแผนและผลักดันนโยบายที่ช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่มล้ำทางการศึกษาได้
นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกสศ. กล่าวว่า สำหรับนิทรรศการครั้งนี้ ทางกสศ.จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. – 3 ก.ย. เพื่อเชิญชวนท่าน ส.ส. ส.ว. ได้เข้ามาเห็นวิธีการทำงานของกสศ.ซึ่งเราใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในชื่อว่า “ระบบ iSEE 2.0” หรือ ระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่ใช้ค้นหาเด็กนักเรียนยากจนว่าอยู่ที่ใดบ้าง มีจำนวนมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลือ โดยนำข้อมูลมาวิเคราะห์จำแนกข้อมูลภาพรวม ทั้งระดับชาติ จังหวัด อำเภอ ตำบล นอกจากนี้ ระบบ iSEE 2.0 ยังเป็นเครื่องมือที่จะตามดูงบประมาณที่กสศ. จัดส่งเข้าไปช่วยเหลือว่าถึงปลายทางจริงหรือไม่ และติดตามการมาเรียนของเด็กอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลการเรียน สุขภาพอนามัย ได้รับการพัฒนาหรือไม่ เช่น จังหวัดอุบลราชธานี มีนักเรียนยากจนที่ได้รับทุน จากกสศ. จำนวน 16 % ของนักเรียนทั้งหมดในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น ดังนั้นเมื่อทราบสถานะความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในมิตินักเรียนยากจนในพื้นที่ จะนำไปสู่การพัฒนาช่วยเหลือต่อไปในอนาคต
“ปัจจุบันมีฐานข้อมูลของเด็กทั้งประเทศ ประมาณ 2 ล้านคน เป็นกลุ่มที่มีความยากจนพิเศษครึ่งหนึ่ง หรือ 1ล้านคน คาดว่าเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มีเด็กจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษา สาเหตุสำคัญคือ ปัญหาเศรษฐกิจ ยังมี ปัญหาสุขภาพ การไม่มีสัญชาติ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มนักเรียน 95% และกลุ่มนักเรียนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา 5% ซึ่งถ้าไม่มีการดูแลป้องกัน กลุ่ม 95% ก็อาจจะหลุดออกจากระบบการศึกษาได้ จึงต้องมีวิธีการในการค้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยง ได้ข้อมูลมาจากการที่ครูทั่วประเทศกว่า 4 แสนคน เยี่ยมบ้านเก็บข้อมูลสภาพบ้านของเด็ก รายได้ การมีพื้นที่เกษตร การมีไฟฟ้า-น้ำประปา พาหนะเดินทาง โดยครูจะทำการกรอกข้อมูลและรูปภาพเข้าสู่ระบบ iSEE” นายสุภกร กล่าว.-สำนักข่าวไทย