กรุงเทพฯ 29 ส.ค. – รมว.สาธารณสุขประกาศจุดยืนไทยไม่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบ ป้องกันสุขภาพเด็กเยาวชนตั้งแต่ต้นทาง พร้อมเร่งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการะทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ” ครั้งที่ 20 เรื่อง “บุหรี่ไฟฟ้า ภัยซ่อนเร้นในสังคม” พร้อมระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั่วโลกทราบดีว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ปลอดภัย และทำให้มีนักสูบหน้าใหม่เกิดขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 สำรวจพบคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 80,000 คน ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่งเป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ บุหรี่ไฟฟ้า ทำให้เยาวชนที่ไม่เคยคิดจะสูบุหรี่เริ่มต้นอยากลองสูบบุหรี่เร็วขึ้น ทำให้มีโอกาสได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่นานขึ้นตามไปด้วย บุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมีผลทำลายสมองที่กำลังเติบโตของเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นอนาคตของชาติ เป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลที่เราทุกคนจะต้องดูแล จึงต้องช่วยกันป้องกัน และส่งเสริมให้เขามีความรู้เท่าทันภัยบุหรี่ในทุกมิติ
รมว.สาธารณสุข ย้ำจุดยืนของไทย คือ ไม่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้า ปัจจุบันมาตรการและประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ ไม่มีมาตรการอื่นใดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเยาวชนไม่ให้เข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า และทดลองเสพบุหรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้น จึงควรป้องกันที่ต้นทาง คือ การห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ตลอดจนดำเนินการตามอนุสัญญาพิธีสารว่าด้วยการจัดการการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
ขณะที่ ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผอ.ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่าจากการรวบรวมงานวิจัยต่างประเทศ ปี 2014-2021 มีถึง 6,971 ชิ้น พบรายงานโรคแทรกซ้อนจากบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจ 49% ระบบหัวใจและหลอดเลือด 13% ช่องปากและฟัน 18% สมอง 7% ตับ 2.9% ผิวหนัง 2.9%และระบบอื่น ๆ 19% องค์การอนามัยโลก สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อทุกระบบของร่างกาย สารนิโคตินที่มีฤทธิ์เสพและออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายน้อยลง และยังมีสารมีพิษอื่น ๆ เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกมากขึ้น สอดคล้องกับสมาคมโรคหัวใจอเมริกา ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 1.8 เท่า ทำให้ปอดอักเสบ มีความเสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเพิ่มขึ้น 49% โรคหอบหืดเพิ่มขึ้น 39% บุหรี่ไฟฟ้าทั้งมือหนึ่งและมือสองมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ ทำให้มีความผิดปกติของระบบประสาท เป็นโรคสมาธิสั้น น้ำหนักแรกเกิดน้อย โดยเฉพาะสมองที่กำลังพัฒนาของเด็กและเยาวชนอายุถึง 25 ปี ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงมากกว่าเด็กที่ไม่เคยสูบ 3-4 เท่า
ทั้งนี้ บุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยเลิกบุหรี่ แต่ยังเป็นประตูนำไปสู่การสูบบุหรี่มวน และสารเสพติดอื่น เช่น กัญชา แอลกอฮอล์ มีโอกาสสูบบุหรี่มวนในอนาคต 3.3 เท่า คนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกบุหรี่มวนจะกลับมาสูบบุหรี่มวน 4.4 เท่า ในด้านความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากงานวิจัยของสหรัฐค่ารักษาพยาบาลจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึงปีละกว่า 500,000 ล้านบาท สูงกว่ารายได้จากภาษีบุหรี่ไฟฟ้าที่จัดเก็บได้เพียง 300 ล้านบาท อีกทั้งการสูบบุหรี่ไฟฟ้ายังทำให้เกิดกลุ่มควันฝุ่น PM 2.5 และเกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ด้าน ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้เป็นสารทดแทนในการเลิกสูบบุหรี่ แต่เป็นจุดเริ่มต้นในการเสพติดบุหรี่หรือสารเสพติดประเภทอื่นในเด็กและเยาวชน สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ขอยืนยัน 9 เหตุผลที่ไทยต้องคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า
1.เป้าหมายของผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้า คือ เด็กและเยาวชน 2.บุหรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทางของการสูบบุหรี่ธรรมดาของเด็กและเยาวชน 3.บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตราย ทำลายสุขภาพ 4.นิโคติน ทำให้เสพติด อันตรายเกินคาด 5.บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริง 6.บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสังคมมากกว่าผลดี 7.บุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้ไทยถอยหลังในการควบคุมยาสูบ 8.การห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า คือ มาตรการสำคัญในการปกป้องเด็กจากการตกเป็นเหยื่อ และ 9.ควรยึดนโยบาย “ปลอดภัยไว้ก่อน” เพราะชีวิตคนไทยมีค่าเกินกว่าจะเอาไปเสี่ยง ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่ 12 ของโลกที่ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2557 และยังไม่มีประเทศใดยกเลิกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าที่ออกมาแล้ว จึงขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันปกป้องกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าของไทย เพื่อคุ้มครองเยาวชนไทยจากการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า.-สำนักข่าวไทย