คาดย้าย “อดีต ผกก.โจ้” เข้าเรือนจำใน กทม. สัปดาห์นี้

นครสวรรค์ 1 ก.ย.-คดีอดีตผู้กำกับโจ้ และพวก ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต คณะทำงานสอบสวนยังคงประชุมเครียด เพื่อทำคดีให้รัดกุมที่สุด โดยเฉพาะเรื่องคลิปที่ใช้มัดตัวผู้ต้องหา หวั่นจะพลิกลิ้นอ้างว่าในภาพไม่ใช่ตนเอง ส่วนเรื่องย้ายอดีตผู้กำกับโจ้กับพวกมาเรือนจำในกรุงเทพนั้น คาดจะจบภายในสัปดาห์นี้


วันนี้ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ พนักงานสอบสวนยังคงประชุมหารือและตรวจเอกสารที่พนักงานสอบสวนแต่ละชุดรวบรวมมา เพื่อตรวจสอบว่ายังขาดประเด็นใดที่จะต้องสอบเพิ่ม และจะต้องสอบพยานบุคคลเพิ่มอีกหรือไม่ รวมไปถึงประเด็นคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 7 คน โดยเฉพาะประเด็นที่อดีตผู้กำกับโจ้กลับคำให้การ นอกจากนี้ยังมีประเด็นการตรวจสอบพฤติกรรมของตำรวจชุด 05 ที่ยังไม่มีการจับกุม ว่าร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่ ซึ่งวันนี้พนักงานสอบสวนได้เชิญอัยการจังหวัดนครสวรรค์ 3 คน ที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งแต่งตั้งมาร่วมหารือ เพื่อให้สำนวนครอบคลุมทุกประเด็น โดยมีรายงานว่า 4 ประเด็นหลักที่อัยการสอบ คือ ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ใด ตายอย่างไร และใครทำให้ตาย ซึ่งประเด็นหลังนี้ คือ จุดสำคัญ เพราะถึงแม้จะมีคลิปหลักฐานที่ชัดเจน แต่ก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดว่าไม่ใช่การตัดต่อ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการพิสูจน์ เพื่อที่จะมัดตัวผู้ต้องหา เนื่องจากผู้ต้องหาอาจจะพลิกลิ้นอ้างว่าในภาพไม่ใช่ตนเอง

สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสรรค์ บอกว่า แม้คลิปวิดีโอจะชัดเจนขนาดนั้น แต่ก็ยังต้องส่งตรวจพิสูจน์ที่กองนิติวิทยาศาสตร์ว่ามีการตัดต่อหรือไม่อย่างไร คดีนี้เป็นคดีสำคัญและเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน ต้องทำอย่างรัดกุมโปร่งใส ส่วนกระแสการย้ายอดีต ผกก.โจ้ เข้าไปที่เรือนจำที่พื้นที่ กทม. เป็นดำริของผู้ใหญ่ เข้าใจว่าทาง ผบ.ตร.ได้มีการสั่งการ ให้ทาง พ.ต.อ.เอนก ได้ทำเรื่องให้นำตัว ผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าไปอยู่ในเรือนจำกลาง ซึ่งอยู่ในภาค 6 เนื่องจากในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์มีการแพร่ระบาดของโรคโควิดเป็นจำนวนมาก แต่การจะย้ายไปเรือนจำในกรุงเทพฯ ก็เป็นไปตามกระแส ซึ่งจะเรียบร้อยภายในสัปดาห์นี้ และภายในวันสองวันจะมีความชัดเจนขึ้น สำหรับการย้ายตัวผู้ต้องหานั้นเป็นเรื่องของความมั่นคง หรือสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมีการระบาดในพื้นที่ราชทัณฑ์ ต้องรอความชัดเจนของทางผู้ใหญ่ ตอบแทนไม่ได้ โดยการย้ายตัวผู้ต้องหาเข้าไปยังเรือนจำในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องที่เคยมีมาหลายคดีแล้ว


ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 พนักงานสอบสวนตามคำสั่ง ตร. ยื่นคำร้องขอโอนการฝากขังผู้ต้องหารวม 7 คน
พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนพล หรือผู้กำกับโจ้ ที่ 1
พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง ที่ 2
ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค ที่ 3
ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา ที่ 4
ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น ที่ 5
ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว ที่ 6
ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ที่ 7

ซึ่งเดิมครั้งแรกมีการยื่นฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 7 ต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ ที่ดำเนินการแทนศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 โดยศาลได้อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาที่ 1-7 มีกำหนด 12 วัน จะครบกำหนดการฝากขังครั้งที่ 1 ในวันที่ 5 กันยายน และ 7 กันยายน ตามลำดับ แต่เนื่องจากคดีนี้ ผู้ต้องหาเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.เมืองนครสวรรค์ ท้องที่เกิดเหตุ และเป็นกรณีข้าราชการตำรวจถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา มีพฤติกรรมกระทำผิดร้ายแรงเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างมาก สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนให้ทำการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวและให้โอนสำนวนการสอบสวนจาก สภ.เมืองนครสวรรค์ ไปสอบสวนยังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ดังนั้นเนื่องจากคดีนี้ เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติชอบภาค 6 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน จึงขอโอนการฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 7 จากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ไปฝากขังยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และขอโอนการขังผู้ต้องหาระหว่างสอบสวนจากเรือนจำกลางพิษณุโลกไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อสะดวกในการสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 87 วรรคท้าย โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้โอนการฝากฝากขขังผู้ต้องหาตามคำร้องดังกล่าว


ด้านนายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกกรมราชทัณท์ บอกว่า ตามหลักหากการกระทำผิดเกิดขึ้นที่ใดก็จะขึ้นศาล และคุมขังในพื้นที่นั้น แต่คดีนี้เมื่อพนักงานสอบสวนอยู่ใน กทม. จึงขึ้นกับทางพนักงานสอบสวนจะประสานขอศาลเพื่อโอนคดีเข้ามา และหากได้รายละเอียดว่าอยู่ในเขตอำนาจศาลใด ราชทัณฑ์ก็พร้อมรับตัว ทั้งนี้ คดีที่ยังไม่ได้ตัดสินและไม่ใช่คดียาเสพติด ก็จะย้ายมาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทั้งหมด ซึ่งสามารถดูแลได้ มีขั้นตอนรับทันทีหากตำรวจประสานมา แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับการประสาน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผยเหนือ-อีสาน อากาศเย็นในตอนเช้า ภาคใต้ฝนตกหนักบางแห่ง

กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือ ภาคอีสาน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก