ฟังศาลพิเคราะห์ ปิดฉากคดีลุงวิศวะ พิพากษาแก้โทษคุก 3 ปี 4 เดือน

17 เม.ย. – ฟังรายละเอียดเต็มๆ ปิดฉากคดี “ลุงวิศวะ” ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษคุก 3 ปี 4 เดือน รอลงอาญา 3 ปี คุมประพฤติ 2 ปี ขณะที่แม่ของน้องปอนด์ น้อมรับคำพิพากษา เหนื่อยมากสู้กันมา 5 ปี และอโหสิกรรมให้ตั้งนานแล้ว


คดีดังเมื่อ 5 ปีก่อน “ลุงวิศวะ” นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 56 ปี เป็นวิศวกรบริษัทแห่งหนึ่ง ก่อเหตุยิงน้องปอนด์ อายุ 17 ปี เสียชีวิตจากเหตุทะเลาะวิวาทกันเรื่องที่จอดรถ บริเวณตลาดอ่างศิลา จ.ชลบุรี เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 โดยกลุ่มวัยรุ่นที่เสียชีวิตได้จอดรถตู้ขวางทางออก ทำให้มีปากเสียงกัน จนเหตุการณ์บานปลายเมื่อนายสุเทพขับรถไล่ตามรถตู้ของคู่กรณี มีการบีบแตรไล่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะจอดรถและลงมาล้อมรถของนายสุเทพ จนเกิดการทะเลาะกันรุนแรง นายสุเทพบันดาลโทสะชักปืนยิงใส่นายนวพลเสียชีวิต ขณะที่ในรถของนายสุเทพมีภรรยาและแม่นั่งมาด้วย

คดีนี้นายสุเทพตกเป็นจำเลยในความผิดฐานพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรและความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 จำคุกจำเลย 10 ปี ปรับ 2,000 บาท และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี


ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2562 จำเลยให้การต่อศาลอุทธรณ์อ้างว่าก่อเหตุเพื่อป้องกันตัวและคนในครอบครัว อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่คำอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และจำเลยได้ยื่นประกันตัวเพื่อขอต่อสู้คดีต่อในชั้นศาลฎีกา ด้วยเงินสด 874,000 บาท

จากนั้น ศาลฎีกานัดพิพากษาคดี ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่มา ศาลจึงสั่งยึดเงินประกัน 874,000 บาท และให้ออกหมายจับ พร้อมระบุว่า หากภายใน 1 เดือน จับกุมจำเลยได้ ให้คุมตัวมาฟังคำพิพากษา แต่หากจับตัวไม่ได้ นัดอ่านคำพิพากษาลับหลัง ในวันที่ 17 มิถุนายน

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มูลเหตุคดีเริ่มต้นเมื่อพวกของผู้ตายจอดรถตู้ซ้อนคันกับรถยนต์ของจำเลย โดยไม่ได้สนใจว่ารถของจำเลยจะออกไปได้หรือไม่ เมื่อภรรยาจำเลยไปบอกว่ารถจะออก แต่พวกของผู้ตายไม่ขยับให้ กลับบอกให้รอก่อน เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปกระทำกัน ใครพบเจอย่อมต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา ส่วนที่จำเลยกล่าวถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง แต่มีเพียงถ้อยคำเดียวที่พวกของผู้ตายได้ยินก่อนที่จะพากันขึ้นรถยนต์ตู้ไป ส่วนถ้อยคำหยาบคายอื่นจำเลยกล่าวในรถยนต์ของตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พวกของผู้ตายรู้สึกว่าจะต้องเอาเรื่องกับจำเลย


ส่วนฝ่ายจำเลย ศาลมองว่าพฤติการณ์ภายในรถแสดงให้เห็นได้ว่า ภายหลังจากออกจากหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้งไม่นาน จำเลยและภรรยาต่างระงับความโกรธได้ และเกรงว่าจะถูกฝ่ายผู้ตายทำร้าย จึงมีความคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจหรือบุคคลอื่น เมื่อรถยนต์ของทั้งสองฝ่ายไปถึงแยกครกใหญ่ จำเลยไม่ได้ขับรถปาดหน้าและไม่ได้มีพฤติการณ์ยั่วยุ โดยเมื่อมีคนในกลุ่มของผู้ตายหลายคนล้อมรอบรถยนต์ของจำเลย ผู้ตายมุดศีรษะเข้ามาในรถยนต์ของจำเลย พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “มึงจะรบป่าว” หลายครั้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ตายจะเข้ามาทำร้ายจำเลยในชั่วเวลาอีกไม่นาน ขณะเดียวกันจำเลยยังถูกพวกของผู้ตายชกต่อยจากทางด้านหลัง ย่อมถือได้ว่ามีอันตรายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของจำเลยแล้ว ประกอบกับจำเลยนั่งอยู่ที่ที่นั่งคนขับอยู่ในที่จำกัดและเคลื่อนไหวร่างกายได้ยาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงออกไปจึงเป็นทางเดียวที่จะพ้นจากการถูกทำร้าย ถือเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นอันตราย

ช่วงท้ายคำพิพากษา ศาลระบุว่า “…เหตุคดีนี้เกิดจากฝ่ายผู้ตายจอดรถยนต์ขวางทางรถยนต์ของจำเลย จนเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย อันเป็นความผิดของฝ่ายผู้ตายด้วยส่วนหนึ่ง การรอการลงโทษให้แก่จำเลยน่าจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่าการลงโทษจำคุกไปเสียทีเดียว…”

ที่สุด ศาลฎีกาพิพากษาแก้จำคุกจำเลย 5 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนแล้ว รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติ 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ให้จำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการระงับควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนและให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 30 ชั่วโมง เป็นอันสิ้นสุดคดีในชั้นศาลฎีกาที่สู้กันมานานกว่า 4 ปี

สรุปประเด็น ตามคำพิพากษาศาลฎีกา สรุปได้ว่า
1.ไม่พบว่ากลุ่มเด็กมีท่าทีโกรธถึงขนาดจะต้องเอาเรื่องจำเลย
2.ไม่พบว่ากลุ่มเด็กมีอาวุธ
3.แม้เมื่อถูกกลุ่มเด็กชกต่อย ก็สามารถการใช้อาวุธเพื่อขู่ หรือยิงลงพื้น หรือยิงอวัยวะอื่นที่ไม่ทำให้ถึงตาย ก็ย่อมสามารถกระทำได้ การยิงเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย แม้จะยิงเพียงนัดเดียว ก็ถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ

ด้านนายวันชัย แสงสุวรรณ์ ทนายฝ่ายผู้เสียหาย เปิดเผยว่า หลังจากนี้ นายสุเทพต้องนำเงินค่าสินไหมให้กับทางฝั่งผู้เสียหาย เป็นเงินทั้งสิ้น 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอ รวมๆ แล้วจนถึงวันนี้น่าจะประมาณ 5 แสนกว่าบาท แต่หากไม่ยอมชดใช้ก็คงต้องฟ้องทางแพ่งต่อไป ในส่วนที่มีประชาชนสงสัยว่านายสุเทพไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาในชั้นศาลฎีกา ทางศาลก็ได้สั่งริบเงินประกันไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 874,000 บาท ส่วนเรื่องคดีความทางอาญาก็ถือเป็นอันสิ้นสุดลงแล้ว

ส่วนแม่ของผู้เสียชีวิต พูดเพียงสั้นๆ ว่า น้อมรับคำพิพากษาของศาล เพราะเหนื่อยมาก สู้กันมาตั้ง 5 ปี และอโหสิกรรมให้ฝั่งนายสุเทพไปตั้งนานแล้ว. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้นบ้านสามารถ

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ” คดีฟอกเงินดิไอคอน

ดีเอสไอเข้าค้นบ้าน “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คดีฟอกเงินดิไอคอน หลังพบเงิน “บอสดิไอคอน” โอนเข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ

หมอบุญ

THG แจงบริษัทไม่เกี่ยวข้องคดีต่างๆ ที่เกิดจาก “หมอบุญ”

THG แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ปัจจุบัน “หมอบุญ” ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG คดีฉ้อโกงใดๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทไม่เกี่ยวข้อง

คะแนนไม่เป็นทางการ เลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ

ลุ้นผลคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช นับเสร็จแล้วบางหน่วย ล่าสุด ณ เวลา 19.40 น. “วาริน ชิณวงศ์” เบอร์ 2 จากทีมนครเข้มแข็ง ชนะคู่แข่งขาดลอยในหลายหน่วย คะแนนทิ้งห่างแชมป์เก่า “กนกพร เดชเดโช” เบอร์ 1 จากพรรค ปชป.

“ทนายสายหยุด” จ่อถอนตัวคดีตั้ม หวั่นติดร่างแห

“ทนายสายหยุด” เตรียมถอนตัวเป็นทนายให้ “ตั้ม” เผยในมือมีแต่พยานเท็จ ปิดบังข้อเท็จจริง เสี่ยงเป็นผู้ร่วมกระทำผิด

ข่าวแนะนำ

งด ครม.

งด ครม. ทำเนียบวันนี้ เตรียมสัญจรครั้งแรก “เชียงใหม่-เชียงราย” วันศุกร์

งด ครม. ทำเนียบวันนี้ เตรียมสัญจรครั้งแรก “เชียงใหม่-เชียงราย” ศุกร์นี้ นายกฯ ตั้งเป้าปีหน้าน้ำท่วมภาคเหนือต้องไม่เกิดอีก ด้าน ศปช. เตรียมเสนอแผนแก้อย่างเป็นระบบใน ครม.สัญจร ศุกร์นี้

วิเคราะห์การเมืองสนามใหญ่ หลังศึกเลือกตั้งนายก อบจ.

วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. 4 สนามใหญ่ โดยเฉพาะอุดรธานี ที่สะท้อนถึงความนิยมในตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี