“กรวีร์” ลั่นถึงเวลาแล้ว! ส.ว.ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน

รัฐสภา 24 มิ.ย. – “กรวีร์ ปริศนานันทกุล” ลั่นควรยกเลิกมาตรา 272 ถึงเวลาแล้ว! ส.ว. ต้องคืนอำนาจให้กับประชาชน


นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.พรรคภูมิใจไทย อภิปรายและเสนอในเรื่องของการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเด็นแรก คือ เรื่องระบบการเลือกตั้ง ที่จะเปลี่ยนระบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนก็แล้วแต่ ซึ่งเข้าใจในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ผ่านมาทั้งระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อ ได้รู้และเห็นถึงความสำคัญของการมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากทั้ง 2 ระบบ เป็นอย่างดี แต่ก็อดไม่ได้ว่าจะหนีไม่พ้นคำครหาของพี่น้องประชาชนที่บอกว่า การแก้ไขกฎหมายก็จะแก้เพื่อตัวพวกเราเอง ไม่อยากจะให้รัฐสภาแห่งนี้เป็นรัฐสภาที่ต้องแบกความรับผิดชอบว่า สุดท้ายแล้วการแก้ไขไม่ได้แก้ไขปัญหาเพื่อประชาชน เมื่อคำนวณสูตรการคิดคำนวณ ส.ส.แล้ว ไม่เห็นประชาชนอยู่ในสมการการคิดคำนวณเลย นี่จึงเป็นที่มาที่พรรคภูมิใจไทยเสนอในการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ว่า อยากจะเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปากท้อง แก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยที่กินได้ เพื่อให้กับพี่น้องประชาชนผ่านการเขียนบรรจุลงไปในกฎหมายหลัก ก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในสภาแห่งนี้ เชื่อว่าเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้หลากหลายเรื่อง แต่เชื่อว่าเรื่องหนึ่งที่พวกเราในฐานะสมาชิกรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล หรือแม้กระทั่ง ส.ว. ก็ตาม เราเห็นตรงกัน คือ เรื่องของปากท้อง และการแก้ไขปัญหาความยากจนของพี่น้องประชาชนให้หมดไป เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเราเห็นตรงกันว่าเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทำไมไม่บรรจุใส่ไว้ในกฎหมายที่สูงที่สุดของประเทศ นั่นก็คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ทำไมปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะไปพิจารณาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย ที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้เขาลืมตาอ้าปากได้หรือไม่

นายกรวีร์ กล่าวต่ออีกว่า ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดี และในร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 13 ฉบับ มีของพรรคภูมิใจไทยฉบับเดียวที่บรรจุเรื่องนี้เอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ หวังว่าเพื่อนสมาชิกรัฐสภา ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. จะเห็นตรงกัน แล้วจะหยิบยกเรื่องนี้ให้ผ่านในวาระแรก และเข้าไปสู่กระบวนการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญในท้ายที่สุด


ประเด็นที่ 3 เรื่องของการยกเลิกมาตรา 272 ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ การยกเลิกอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจาก ส.ว. ซึ่งประเด็นนี้ ทางพรรคภูมิใจไทยไม่ได้รังเกียจ ส.ว. พวกเรารู้ถึงความจำเป็น และรู้ว่าการทำหน้าที่ ระหว่างสภา ส.ส. และสภาสูง (สภาของสมาชิกวุฒิสภา) นั้น การทำงานร่วมกันมีความจำเป็น ในทางตรงกันข้าม เรายังปรารถนาดีที่อยากจะเห็น ส.ว. เป็นสภาอันทรงเกียรติ เป็นสภาที่กลั่นกรองกฎหมายที่ผ่านจาก ส.ส. ของพวกเราขึ้นไป เพื่อความรอบคอบ และทำหน้าที่รับใช้ประชาชนเคียงคู่กันไปกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

นอกจากนั้น ต้องชื่นชมสมาชิกวุฒิสภาหลายท่านในชุดนี้ เป็นคนเก่ง มีความสามารถ แต่สิ่งที่เป็นปัญหา มีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ ไม่ได้มาจากพี่น้องประชาชน และเรื่องที่ 2 คือ ส.ว. มีอำนาจบางอย่างอยู่ในมือของท่าน โดยที่เป็นอำนาจไม่พึงจะมี ด้วย 2 อย่างนี้ จึงทำให้สถานะการดำรงอยู่ของ ส.ว. ไม่ค่อยสง่างาม และด้วยอำนาจของท่านที่ไม่พึงจะมี และทำให้ท่านไปใช้อำนาจแทนพี่น้องประชาชนในการเลือกตั้ง ในการเลือกตัวนายกรัฐมนตรีนั้น ขัดกับหลักการของประชาธิปไตยอย่างเสียหายเป็นอย่างยิ่ง

“เมื่อปี 2559 ต่อเนื่องถึงปี 2560 มาตรา 272 ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญในเบื้องแรก แต่มาจากการตั้งคำถามพ่วงในวันที่พวกเราทำประชามติถามกับพี่น้องประชาชน แล้วคำถามพ่วงนั้นมาจากสมาชิก สนช. โดยความให้อนุมัติผ่านสภา สนช. โดยคำแนะนำของ สปท. (สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่งประเทศ) และบังเอิญที่บางส่วนของสมาชิก สนช. และบางส่วนของสมาชิก สปช. (สภาปฏิรูปแห่งชาติ) มาอยู่ในสภาแห่งนี้ มากลายร่างเป็น ส.ว.ในยุคปัจจุบัน และ ส.ว.ในชุดนี้ บังเอิญเป็นการแต่งตั้ง คัดเลือกโดย คสช. และ ส.ว.ชุดนี้ ก็ไปเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นนายกฯ ท่านปัจจุบันนี้ ที่พวกเราทราบกันดี ด้วยกติกาและวิธีการแบบนี้ จึงทำให้ ส.ว.ชุดนี้ หนีไม่พ้นคำครหา เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน จนทำให้คนอื่นดูแคลนสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ไปต่างๆ นานา ด้วยเหตุนี้เอง ถึงบอกว่าเห็นใจ เพราะ ส.ว.ชุดปัจจุบันไม่ได้เป็นคนเขียนกติกา แต่ท่านต้องมารับเผือกร้อนด้วยการถือเอาอำนาจที่ท่านไม่ควรที่จะได้รับตั้งแต่แรกมาไว้ในมือ จึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา”


อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงวันนี้ที่ผ่านมา สมาชิกวุฒิสภาหลายท่านแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนว่า เห็นด้วยในหลักการที่จะรับในการยกเลิกมาตรา 272 แล้วคืนอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีให้เป็นอำนาจของประชาชน ผ่านตัวแทนของพี่น้องประชาชน ก็คือ ส.ส. ที่เลือกตั้งกันเข้ามา ประเด็นนี้อยากจะบอกกับท่านวุฒิสมาชิกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะคืนอำนาจเหล่านี้ให้กับพี่น้องประชาชน เขาเลือกตั้ง ส.ส. เลือกพรรคการเมืองเข้ามา ด้วยความหวังว่า พรรคการเมืองเหล่านั้นจะมาเป็นรัฐบาล และผลักดันนโยบายต่างๆ แต่สุดท้ายการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีผ่านรัฐสภาแห่งนี้ กลับมีเสียงที่ไม่ได้มาจากประชาชน 250 เสียง ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีด้วย

“นี่คือโอกาสที่ดีที่จะทำให้คำครหาต่างๆ ที่มีกับท่าน ส.ว. หมดไป และเป็นโอกาสที่ดีที่จะแก้ไขกติกาที่ผิดเพี้ยนจากหลักระบอบประชาธิปไตยให้ถูกต้อง ให้กลับมาอยู่ในเส้นทางของระบอบประชาธิปไตยเสียที นี่คือโอกาสที่จะสร้างความชอบธรรม สร้างอำนาจอธิปไตยในการเลือกตัวนายกรัฐมนตรี ให้กลับไปอยู่ที่ตัวแทนของพี่น้องประชาชนผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

นายกรวีร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าเราจะเห็นการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญสักฉบับหนึ่ง คาดหวังว่าจะไม่เป็นคำติฉินนินทา และไม่เป็นคำครหากลับมาที่รัฐสภาแห่งนี้ ว่าพวกเราแก้เพื่อตัวเอง ถ้าเราจะแก้รัฐธรรมนูญกันใหม่สักครั้งหนึ่ง ก็อยากจะเห็นว่าเป็นการแก้ไขเพื่อแก้ปัญหาปากท้อง การกินดีอยู่ดี และสร้างรัฐธรรมนูญที่กินได้ให้กับพี่น้องประชาชนเสียที และถ้าเราจะแก้รัฐธรรมนูญ หวังว่าเราจะสร้างกติกาที่เป็นสากลในระบอบประชาธิปไตย และหวังว่าการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีผ่านสภาในครั้งหน้านั้น เราจะได้ทำหน้าที่ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีอย่างสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี และเราจะได้นายกรัฐมนตรีที่สง่างามให้กับคนไทยทั้งประเทศ” – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

วิศวกรรมสถานฯ ห่วงดินอ่อนเสี่ยงขยายวง หลังถนนหน้า รพ.วชิรพยาบาล ทรุดตัว

กรุงเทพฯ 24 ก.ย. – วิศวกรรมสถานฯ ตรวจสอบเหตุถนนทรุด หน้า รพ.วชิรพยาบาล เบื้องต้นพบยังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัว มีโอกาสสไลด์เพิ่ม หากมีฝนตกลงมา นายธเนศ วีระศิริ ที่ปรึกษาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุผิวจราจรทรุดตัวบริเวณถนนหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ายังมีน้ำรั่วซึม ทำให้ดินใต้ถนนอ่อนตัวและมีโอกาสสไลด์เพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะหากมีฝนตกลงมา จะเพิ่มความเสี่ยงให้พื้นที่ไม่คงตัวมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเร่งหาทางปิดแหล่งน้ำที่รั่วซึม ทั้งจากท่อประปาและท่อระบายน้ำ ซึ่งยังมีน้ำไหลออกมาเป็นระยะ หากสามารถหยุดได้จะช่วยสร้างเสถียรภาพชั่วคราวให้กับดิน และลดโอกาสการขยายวงของการทรุดตัว พร้อมกันนี้มีการนำเครื่องมือสำรวจ เช่น 3D Scan มาช่วยวัดความกว้าง ความยาว และความลึกของหลุม เพื่อประเมินความปลอดภัยและแนวทางแก้ไขอย่างชัดเจน สำหรับอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาล (สน.ใหม่) พบว่าเสาเข็มบางต้นหักหรือแตกร้าว ทำให้ต้องตรวจสอบรอยร้าวของโครงสร้างอาคารอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอันตรายต่อประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ นายธเนศ เน้นย้ำว่า มาตรการสำคัญที่สุดในขณะนี้ คือการปิดกั้นพื้นที่เสี่ยงและไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าใกล้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้วิศวกรรมสถานฯ ได้เสนอแนวทางเบื้องต้น คือการควบคุมน้ำไม่ให้รั่วซึม การกั้นเขตพื้นที่เสี่ยง และการติดตามโครงสร้างอาคารโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ก่อนประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าพื้นที่จะกลับมาเสถียรและปลอดภัยเมื่อใด ด้านนายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณถนนทรุด […]

นายกฯ รุดตรวจถนนยุบ สั่งเร่งหาสาเหตุ คุมสถานการณ์ได้แล้ว

สามเสน 24 ก.ย.- นายกฯ รุดตรวจเหตุถนนสามเสนยุบตัว ขึ้นตึกวชิรพยาบาล ดูมุมสูง ชี้ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว บอกไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่ทรัพย์สินเสียหาย ห่วง สน.สามเสน เสาเข็มขาด 2-3 ต้น ประสานโรงพยาบาลในเครือ รองรับผู้ป่วย มอบโยธารวบรวมผู้เชี่ยวชาญหาสาเหตุที่แท้จริง ด้าน รฟม. น้อมรับชดเชยค่าเสียหายทุกอย่าง ขณะผู้ว่าฯ กทม. สั่งเตรียมเครื่องสูบน้ำ หวั่นฝนถล่มซ้ำ กันประชาชนเข้าใกล้รัศมี 100 เมตร ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 10.35 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ ถนนสามเสน บริเวณด้านหน้า โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รอรับและรายงานสถานการณ์ และการลงพื้นที่ครั้งนี้มี น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารกระทรวงคมนาคม นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายไชยชนก […]

สั่งหยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง พื้นที่เกิดเหตุถนนทรุด

กรุงเทพ 24 ก.ย.- รฟม. สั่งการให้หยุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงในพื้นที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ตามที่เกิดเหตุพื้นถนนทรุดตัว บริเวณหน้าทางเข้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ใกล้เคียงกับจุดก่อสร้างทางขึ้น-ลงที่ 4 สถานีวชิรพยาบาล (PP19) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2568 นั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้นางมัลลิกา จิระพันธุ์วานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ร่วมกับนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้น ผู้ว่าการ รฟม. พร้อมด้วยผู้อำนวยการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ และทีมงาน ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างบริเวณพื้นที่เกิดเหตุในทันที เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ก่อสร้างบางส่วน และอพยพประชาชนโดยรอบออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย รฟม. ได้ประสานหน่วยงานสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง ทั้งการประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง บริษัทโทรคมนาคม และตำรวจในพื้นที่ เพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงจัดการจราจรในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้สัญจร ทั้งนี้ […]

วชิรพยาบาลปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน เหตุถนนทรุดไม่กระทบอาคาร

24 ก.ย.- คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ยันตัวอาคารโรงพยาบาลไม่ได้รับผลกระทบ ขอปิดรับผู้ป่วยนอก 2 วัน รับกังวลการมาทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวถึงกรณีการทรุดตัวลงของพื้นผิวถนนหน้าโรงพยาบาลวิชรพยาบาลว่า ตัวของโรงพยาบาลไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพราะด้านหน้ามีกำแพงกั้นดินที่ลึกถึง 60 เมตร และตัวอาคารทีปังกรฯ มีกำแพงอยู่ แต่เพื่อความไม่ประมาทและการจราจรก็มีปัญหาจึงได้หยุดให้บริการตึกผู้ป่วยนอกเป็นเวลา 2 วัน และตึกดังกล่าวไม่ได้มีการอพยพผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยทั้งหมดในตึกนั้นเป็นผู้ป่วยนอกจึงไม่จำเป็นที่จะต้องอพยพ ทั้งนี้ หากมีเหตุจำเป็นและเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินทางโรงพยาบาลยังเปิดให้บริการอยู่ ตอนนี้เราเป็นห่วงในเรื่องของการจราจรส่วนอาคารนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ในส่วนของการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็ยังสามารถใช้ประตูอื่นบริเวณโดยรอบโรงพยาบาลได้ ส่วนที่เรากังวลคือการเดินทางมาทำงานของเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาล. -สำนักข่าวไทย