มท.1 มอบนโยบายขับเคลื่อน ศจพ.ระดับพื้นที่ 15 จังหวัดภาคเหนือ

เชียงใหม่ 28 ก.พ. – มท.1 ลงพื้นที่มอบนโยบายขับเคลื่อน ศจพ. ระดับพื้นที่ 15 จังหวัดภาคเหนือ เน้นย้ำผู้ว่าฯ-นายอำเภอ ต้องบูรณาการทุกภาคส่วนลงสำรวจและแก้ไขปัญหาแบบพุ่งเป้าให้กับประชาชน เพื่อขจัดความยากจนให้หมดไปอย่างยั่งยืน


วันนี้ (28 ก.พ.65) เวลา 09.00 น. ที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายและบรรยายพิเศษแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ โดยมีนายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประชา เตรัตน์ นายวัลลภ พริ้งพงษ์ คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบภาคเหนือ ว่าที่ร้อยตรี ณรงค์ โรจนโสทร ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด 15 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมด้วยประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด พัฒนาการจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด และนายอำเภอ ร่วมรับฟัง และถ่ายทอดสดการประชุมผ่านระบบ DOPA Channel ไปยังทุกจังหวัด/อำเภอทั่วประเทศ โดยมีปลัดอำเภอ พัฒนาการอำเภอ สาธารณสุขอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมรับฟัง

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมขับเคลื่อนแนวทางการขับเคลื่อนศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในการปฏิบัติมีรายละเอียด มีจุดเน้นที่ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อมาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) มีเป้าหมายสำคัญ คือ การแก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน หรือ “การตัดเสื้อให้พอดีตัว” โดยมีกลไกการดำเนินงานตั้งแต่ระดับนโยบาย โดยคณะกรรมการฯ ระดับชาติ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (อขจพ.) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ไปจนถึงระดับปฏิบัติในพื้นที่ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับจังหวัด ผ่านศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัด (ศจพ.จ.) ระดับอำเภอ ผ่านศูนย์อำนวยการปฏิบัติการฯ อำเภอ (ศจพ.อ.) และระดับปฏิบัติการ ผ่านทีมปฏิบัติการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับพื้นที่ และได้มีการตั้ง “ทีมพี่เลี้ยง” เข้าไปจัดทำแผนครัวเรือนร่วมกับทุกครัวเรือนยากจนในทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อไปรับทราบปัญหา ช่วยหาทางแก้ไข และให้การสนับสนุนให้ครัวเรือนมีการวางแผน/แก้ปัญหาตรงตามสภาพปัญหาที่แต่ละครอบครัวกำลังเผชิญ เมื่อทราบปัญหาของแต่ละครอบครัวแล้ว ทีมพี่เลี้ยงจะได้นำข้อมูลมารายงาน ศจพ.อำเภอ เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เสร็จในระดับอำเภอ ทั้ง 5 มิติ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “5 เมนูแก้จน” ได้แก่ 1) สุขภาพ เช่น การดูแลสุขภาพ การติดตามผู้ป่วยเรื้อรัง 2) ความเป็นอยู่ เช่น ปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย 3) การศึกษา เช่น การฝึกอาชีพ 4) ด้านรายได้ เช่น การจัดหาที่ดินทำกิน เกษตรแปลงใหญ่ และ 5) การเข้าถึงบริการภาครัฐ เช่น สนับสนุนเบี้ยผู้พิการ ผู้สูงอายุ ให้ผู้ที่ตกหล่นจากระบบ โดยทีมพี่เลี้ยงจะลงพื้นที่เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของครัวเรือนยากจนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ในลักษณะ Intensive care


“สิ่งสำคัญที่มาเน้นย้ำในวันนี้ คือ ระดับพื้นที่ เรามี ศจพ.จังหวัด อำเภอ ตำบล และทีมพี่เลี้ยงในระดับพื้นที่ ความสำเร็จหรือล้มเหลวทั้งหมดอยู่ที่กลไกในพื้นที่ทั้งหมด โดยเฉพาะ “ทีมพี่เลี้ยง” ที่ต้องดำเนินการวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางการแก้ไข ตามหลัก 4 ท คือ ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร และทางออก โดยให้ครัวเรือนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ การคิด ตามสภาวะแวดล้อมที่สามารถทำได้ และไม่เป็นการบังคับให้เขาทำ โดยพัฒนากรเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเข้าใจให้ทีมพี่เลี้ยงไปสำรวจให้รู้ปัญหา รู้แนวทางการทำงาน และวิเคราะห์ปัญหาทั้งหมดให้ออกมา ด้วยการนำข้อมูลบุคคล/ครัวเรือนเป้าหมายจากระบบ TPMAP ไปกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกับครัวเรือน พร้อมทั้งติดตาม ตรวจสอบ วิเคราะห์ ดูแลอย่างใกล้ชิด ในลักษณะ Intensive Care และบันทึกในระบบ Logbook ทุกครั้งที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ซึ่ง ศจพ.อำเภอ ต้องมีความเข้าใจ “เมนูแก้จน” ทั้ง 5 เมนู รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า โดยนายอำเภอเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการบูรณาการ ทั้งนี้ หากพบสภาพปัญหานอกเหนือจากเมนู ให้ประสานหน่วยงานในพื้นที่ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ หากไม่สามารถแก้ไขในระดับอำเภอได้ ให้รายงานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บูรณาการ และหากเป็นสภาพปัญหาที่ต้องแก้ไขในระดับนโยบาย ให้รายงานมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรี พิจารณาสั่งการต่อไป” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวเน้นย้ำ

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวต่อว่า ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนตามกลไก ศจพ. ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ กระทรวงที่เกี่ยวข้องในกลไก ศจพ.ทั้งหมด จะมอบนโยบายลงไปสู่ผู้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของแต่ละกระทรวงที่ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ เพื่อหนุนเสริมการขับเคลื่อนงานของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดที่ต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมบูรณาการระดับจังหวัดในพื้นที่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบ TPMAP ปี 2565 จำนวน 1,025,782 คน เป็นเครื่องมือในการชี้เป้า เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า คือ ใช้เป้าที่ได้ดำเนินการสำรวจแล้วเป็นเป้าหมายขับเคลื่อนแก้ปัญหาไปพร้อมกันทุกองคาพยพในพื้นที่ ซึ่งจะทำสำเร็จได้ต้องจบที่อำเภอ ถ้าแก้ที่อำเภอไม่สำเร็จ ก็ไปจบที่จังหวัด แต่มุ่งหวังให้จบที่อำเภอให้ได้ ภายในวันที่ 30 ก.ย.65 โดยมีระยะเวลา (Timeline) การขับเคลื่อน แบ่งเป็น 1. สร้างการรับรู้ (25 ก.พ.-15 มี.ค.65) ให้แก่ผู้ปฏิบัติงานระดับต่างๆ ทั่วประเทศ 2. วิเคราะห์สภาพปัญหา และกำหนดแนวทางแก้ไข (มี.ค.65) โดยนำข้อมูลจากระบบ TPMAP ลงพื้นที่เป็นรายครัวเรือน วิเคราะห์สภาพปัญหาและร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไข 3. จำแนกประเภทครัวเรือน โครงการ/กิจกรรม (1-15 เม.ย.65) โดยจำแนกครัวเรือน 3 ประเภท ได้แก่ พัฒนาได้ สงเคราะห์ และไม่ขอรับความช่วยเหลือ 4. บูรณาการแนวทางการให้ความช่วยเหลือ (15-30 เม.ย.65) โดยจัดประชุม ศจพ.อำเภอ เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือร่วมกับหน่วยงานในระดับพื้นที่และภาคีการพัฒนาต่างๆ 5. ดำเนินการให้ความช่วยเหลือ (1 พ.ค.-30 ก.ย.65) หน่วยงานต่างๆ ให้ความช่วยเหลือตามโครงการกิจกรรมที่ผ่านการประชุม (โดยแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จสิ้นในระดับอำเภอ ภายใน 30 ก.ย.65) 6. บันทึกข้อมูลในระบบ logbook (มี.ค.-ก.ย.65) โดยทีมพี่เลี้ยงร่วมติดตามการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด (Intensive Care) และ 7. ติดตามการดำเนินงาน รายงานผล และประชาสัมพันธ์ โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กรมการพัฒนาชุมชน กรมการปกครอง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

“การสร้างการรับรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ใช้ช่องทางการสื่อสารทุกรูปแบบ ทุกขั้นตอน ทั้ง Online Onsite Onground ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ต้องทำซ้ำ ทำบ่อย ทำหลายๆ ช่องทาง ทำทุกระดับ รวมถึงทั้งมูลนิธิ สมาคมต่างๆ บูรณาการกันใช้พลังในการสื่อสาร เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ถ้าทุกคน ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกันจะมีพลัง เพื่อปลายทาง คือ “พี่น้องประชาชนมีความสุข” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย


สุดท้าย พล.อ.อนุพงษ์ ได้เน้นย้ำนโยบายการขับเคลื่อนการทำงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ 1) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะบริเวณทางข้าม “การข้ามถนนแล้วเกิดอุบัติเหตุจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก” โดยบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดสูงสุด และทำให้คนขับรถมีวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน รู้ทั้งกติกา มารยาท และมีจิตสำนึกที่จะคิดถึงความปลอดภัยของคนอื่น ต้องมีจิตวิญญาณใช้ถนนที่ดี เมื่อถึงทางคับขันต้องชะลอรถ 2) ลด Demand Side และ Supply ของยาเสพติดควบคู่กัน 3) บริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ให้เป็นไปตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข 4) ดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในทุกรูปแบบ 5) เตรียมการรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง เพื่อช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกร 6) ประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่ ดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสาร โดยเน้นบริเวณที่มีสภาพปัญหามากที่สุดเป็นลำดับแรก และ 7) การขับเคลื่อนงานทุกระดับ ทุกกลไกในพื้นที่ ต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และกำชับผู้ปฏิบัติงานให้ปฏิบัติงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้

ด้านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องอาศัยกลไกภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด องค์กรเอกชน สมาคม มูลนิธิต่างๆ ในระดับพื้นที่ และให้ดำเนินการ 1) นำแอปพลิเคชัน ThaiQM ซึ่งกรมการปกครองได้พัฒนาระบบนำเอาชุดข้อมูลที่ต้องทำการสำรวจอีกครั้งเข้าระบบ โดยนายอำเภอเป็นหัวหน้าชุดบูรณาการทีมงานสำรวจ และดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายใน 30 ก.ย.65 ตามแผนที่กำหนด ยกเว้นในด้านที่อยู่อาศัย ให้แล้วเสร็จภายใน 12 ส.ค.65 เพื่อพี่น้องคนไทยมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา 2) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด กำกับ ติดตาม และส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 7,853 แห่งทั่วประเทศ ขับเคลื่อน “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อน” ให้มีความเข้มแข็ง ขับเคลื่อนกันช่วยเหลือพี่น้องประชาชนควบคู่กับโครงสร้างของภาคส่วนต่างๆ เช่น เหล่ากาชาด องค์กรการกุศล 3) น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ปลูกพืชผักสวนครัวสร้างความมั่นคงด้านอาหาร” และขับเคลื่อนงาน “อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.)” เพื่อให้ อปท. อบรม อถล. ทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน และสอนให้รู้จักการเก็บขยะรีไซเคิล นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารขยะ และ 4) บูรณาการร่วมกับฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดต่างๆ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ลงนาม MOU ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม โดยวัดทุกวัดจะมาร่วมแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของชาวบ้าน และรณรงค์ส่งเสริมให้คนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่มาใช้ในชีวิตประจำวัน

“ขอให้ช่วยกัน Change for Good ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย และร่วมกันเฉลิมฉลองวาระ 130 ปี กระทรวงมหาดไทย ด้วยการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน เรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุด คือ กระดุมเม็ดแรก ต้องหาเป้าให้ครบ แล้วลุยแก้ปัญหาอย่างพุ่งเป้า ช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันนักปกครอง กระทรวงมหาดไทย และที่สำคัญที่สุด สร้างชื่อเสียงให้ระบบราชการว่า มีความจำเป็นต่อสังคมไทย โดยใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในตอนท้าย. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดปมสามียิงภรรยาดับคารถ ปัญหาเรื่องเงิน

กทม. 11 มิ.ย. – เปิดปมเหตุสามียิงภรรยาดับคารถ พี่ชายกับเพื่อนรุ่นน้องเผยว่าผู้ก่อเหตุมีปัญหาเรื่องเงิน พบช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยนไป จากกรณีนายมีนาพัฒน์ อายุ 40 ปี ก่อเหตุยิงนางสาวนันทิชา อายุ 36 ปี ภรรยาของตัวเอง แล้วทิ้งศพไว้ในรถ ในซอยเพชรเกษม 67 แยก 8 เขตบางแค และหลังก่อเหตุปิดล็อกประตูเงียบอยู่ในบ้านพัก เจ้าหน้าที่ล้อมจับนาน 4 ชั่วโมง จนยอมมอบตัวเมื่อคืนวานนี้ (10 มิ.ย.) ต่อมาพี่ชายของนายมีนาพัฒน์ มาเยี่ยมผู้ก่อเหตุที่ สน.เพชรเกษม เปิดใจยอมรับว่าสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องเงิน เมื่อช่วงเดือนเมษายน น้องสะใภ้ (ผู้ตาย) บอกว่า น้องชายนำบ้านที่แม่ยกให้เป็นมรดกไปเข้าธนาคาร 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งผิดจากปกติที่น้องไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินมาก่อน เพราะแม่ยกสมบัติให้เยอะมาก ครั้งสุดท้ายที่คุยกับน้องชายคือเมื่อวานนี้ช่วง 19.30 น. น่าหลังจากก่อเหตุฆ่าภรรยาแล้ว คุยกันประมาณครึ่งชั่วโมงสังเกตได้ว่าน้องชายมีอาการสับสน พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่มีบางประโยคที่น้องชายพูดออกมาแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจ เรื่องบ้านที่แม่ยกให้เป็นมรดก บอกว่า “บ้านหลังนี้ครอบครัวเราจะต้องได้อยู่” […]

ตำรวจภาค 8 รวบ 3 ราย ขบวนการส่งยาขนมากับรถทัวร์

กระบี่ 11 มิ.ย. – รวบขบวนการค้ายาบ้า ขนมากับรถทัวร์ สายเชียงใหม่-ภูเก็ต 3 แสนเม็ด แวะลงกระบี่ ส่งให้เอเย่นต์สาขาสุราษฎร์ฯ ตำรวจรวบทีเดียวทั้งคนส่งและคนรับ นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น รอง ผบช.ภ.8 รักษาการ ผบ.ภ.จ.กระบี่ แถลงผลการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด ได้ผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางยาบ้า 300,000 เม็ด ประกอบด้วย นายสัมพันธ์ อายุ 54 ปี นายสุรพล อายุ 30 ปี และนางสาวสุนารี อายุ 27 ปี พร้อมยึดรถเก๋ง 1 คัน และแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการส่งมอบยาบ้ากันบริเวณสามแยกเขาต่อ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ เมื่อถึงเวลาก็มีรถทัวร์สายเชียงใหม่-ภูเก็ต […]

‘ฮุน มาเนต’ ย้ำทหารกัมพูชาไม่ได้ถอยออกจากพื้นที่

ปารีส 10 มิ.ย. – ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งสารจากฝรั่งเศสถึงชาวกัมพูชา ยืนยันจุดยืนกองทัพไม่ได้ถอนออกจากพื้นที่ภายใต้อธิปไตย พร้อมร่วมมือกับไทยปักปันเขตแดน ตามกลไกเจบีซี ยกเว้น 4 จุดที่จะส่งศาลโลกตัดสิน ฮุน มาเนต ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยมหาสมุทรของสหประชาชาติ ครั้งที่ 3 ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Hun Manet ส่งสารถึงชาวกัมพูชา มีใจความดังนี้ กองทัพกัมพูชาสนับสนุนความพยายามในการหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยสันติ แต่พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนจากการพยายามรุกรานใดๆ กองทัพกัมพูชาพร้อมที่จะเข้าร่วมสนับสนุนกลไกการเจรจาชายแดนกับไทยที่มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อดำเนินงานรังวัดและปักปันเขตแดนที่เหลือระหว่าง 2 ประเทศต่อไป ยกเว้นประเด็นที่กัมพูชาจะส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีเจ (ICJ) พิจารณา

นายกฯ พบชาวไร่อ้อย รับข้อเสนอราคาอ้อย

ทำเนียบ 10 มิ.ย.-นายกฯ พบชาวไร่อ้อย รับข้อเสนอราคาอ้อย มอบ รมว.อุตสาหกรรม แก้ปัญหาราคา ก่อนประชุม ครม. ไม่ตอบคำถามสื่อปมเอกสาร รทสช.ขอปรับรัฐมนตรี จับตา ครม. ถกข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ก่อนประชุม JBC 14 มิ.ย.นี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ โดยก่อนการประชุม ประธานสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และคณะ เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐมนตรีติดตามการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรมาโดยตลอด และมารายงานเรื่องนี้อย่างละเอียดอยู่ตลอด ตนทราบปัญหา ทางเกษตรกรจึงเน้นย้ำว่า ปัญหาจะแก้ไขได้ก็ต้องเป็นไปภายใต้การสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” นายกรัฐมนตรี จึงไหว้รับขอบคุณ พร้อมกับกล่าวต่อว่า อะไรที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ก็พร้อมที่จะแก้ไขในทุกเรื่องอยู่แล้ว จึงอยากให้จัดระบบให้ดี เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันเกษตรกรยังฝากรัฐบาลให้ไปดูแลในการรับซื้อใบอ้อย เนื่องจากเกษตรกรให้ความร่วมมือในการตัดอ้อยสด ทำให้นายกรัฐมนตรีถึงกับกล่าวแซว โห นี่จริงๆ ทำไมไม่ไปเป็นนักการเมือง ในสภาน่าจะเก่งเรื่องนี้ ทำให้เกษตรกรคนดังกล่าวกล่าวว่าลูกชายของตนเป็นนายก 6 สมัยรวด ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะกล่าวขอบคุณ และขอให้ทุกคน”รวยๆ […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ ดูบังเกอร์หลบภัย ถามผู้ว่าฯ สุรินทร์ ทำไมไม่ของบ มท.

11 มิ.ย.- นายกฯ ดูชาวบ้านทำบังเกอร์ ร้องโถ่ ก่อนถามผู้ว่าฯ สุรินทร์ ทำไมไม่ของบ ก.มหาดไทย หลังรายงานขอรับบริจาคมาใช้แทนยางรถยนต์ วันนี้ (11 มิ.ย. 68) เวลา 13.40 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ ลงพื้นที่ต่อมายังหมู่บ้านสกลพัฒนา ตำบลตะเคียน อำเภอกาบเชิง เพื่อพบปะชาวบ้าน มอบสิ่งของ และตรวจดูการทำบังเกอร์หลบภัย โดยทันทีที่นายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง ได้มีชาวบ้านนำผ้าขาวม้ามามอบให้ ซึ่งนายกฯ รับมาก่อนจะหันไปหานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า “ผูกกันเป็นทีม” ก่อนจะมอบสิ่งของอุปโภค – บริโภค เพื่อให้กำลังใจชาวบ้านในพื้นที่ จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมการสร้างบังเกอร์ โดยมีนายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านสกลพัฒนา รายงาน โดยนายกรัฐมนตรี ถามผู้ว่าฯ ว่า ขอเข้าไปดูได้หรือไม่ และถามชาวบ้านบ้านว่า “ทำมานานหรือยัง” โดยชาวบ้านบอกว่า […]

คุมตัว “หมอแอร์” ฝากขังศาลอาญา-ค้านประกันตัว

กรุงเทพฯ 11 มิ.ย. – คุมตัว “หมอแอร์” ฝากขังศาลอาญา รัชดาฯ ตำรวจคัดค้านการประกันตัว ส่วนผู้ต้องหาอีก 6 คน ที่ถูกจับในขบวนการเดียวกัน พนักงานสอบสวนจะนำตัวฝากขังพรุ่งนี้ (12 มิ.ย.) พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 1 ควบคุมตัวหมอแอร์ ไปฝากขังศาลอาญา รัชดาฯ พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากการกระทำความผิดมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะมีการหลบหนีและยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ในระหว่างควบคุมตัว หมอแอร์สวมหมวก แว่นตาดำ และแมสก์ปิดบังใบหน้า พยายามแอบอยู่หลังเจ้าหน้าที่ โดยไม่ตอบคำถามของสื่อมวลชนแต่อย่างใด สำหรับผู้ต้องหาอีก 6 คน ที่ถูกจับในขบวนการเดียวกัน พนักงานสอบสวนจะนำตัวไปฝากขังศาลอาญา รัชดาฯ วันพรุ่งนี้ (12 มิ.ย.) .-สำนักข่าวไทย

เปิดขบวนการ “หมอแอร์” สวมชื่อคนตายซื้อยาเสียสาว

11 มิ.ย. – ผู้ช่วย ผบ.ตร. นำแถลงกรณี “หมอแอร์” พร้อมพวกรวม 7 คน แอบอ้างชื่อคลินิก 12 แห่ง สั่งซื้อยายาเสียสาว นำมาขายต่อ นาน 3 ปี และยังสวมชื่อคนตาย 370 คน รับยา ขณะที่ รพ.ตำรวจ มีคำสั่งให้ “หมอแอร์” ออกจากราชการไว้ก่อน หลังเมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.68) เจ้าหน้าที่บุกจับ “หมอแอร์” คุณหมอชื่อดัง สังกัดโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมพวก แอบอ้าง 12 คลินิก สั่งซื้อยาควบคุม (ยาเสียสาว) นำมาขายต่อ นาน 3 ปี วันนี้ (11 มิ.ย.68) มีการแถลงข่าวเรื่องนี้ นำโดย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย […]

เปิดภาพความจริง! อดีต-ปัจจุบันชายแดนช่องบก

11 มิ.ย. – ‘กองทัพไทย’ เปิดภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศ ชายแดนช่องบก อุบลราชธานี เปรียบเทียบอดีต-ปัจจุบัน พบการทำกิจกรรมทางทหาร-ขุดคูเลต-ทำถนนส่งกำลังบำรุง ก่อนเหตุปะทะช่องบก 28 พ.ค.2568 ทีมโฆษกกองทัพไทย เปิดข้อมูลแผนที่ทางอากาศ จัดทำโดยกองบัญชาการกองทัพไทย จากกรณีไทย และกัมพูชา มีข้อสังเกตหลายประเด็นที่ปรากฏในภาพถ่ายทางอากาศตรงจุดปะทะ โดยภาพถ่ายทางอากาศ เริ่มตั้งแต่ปี 2497 ช่วงแรกถ่ายไว้จนถึงปี 2520, 2527 และมีการถ่ายภาพทางอากาศอย่างต่อเนื่อง ส่วนกรณีที่อ้างถึงการยึดครอง และใช้ชีวิตในพื้นที่ที่มีปัญหานานมากแล้วนั้น หากมองตามภาพถ่ายทางอากาศ จะยืนยันได้ว่า ไม่มีการเข้าไปใช้พื้นที่อย่างที่อ้าง ข้อมูลของกองทัพไทย ยังได้เปรียบเทียบเส้นสีแดงในแผนที่ เป็นเส้นแนวที่ไทยยึดถือ ใช้แบ่งแนวเขตระหว่างไทย กัมพูชา และลาว ส่วนจุดปะทะที่เกิดขึ้นนั้น เป็นพื้นที่ที่เข้ามาทางฝั่งไทย ทั้งนี้ กองทัพไทยยังมีการถ่ายทางอากาศต่อเนื่องยาวมาถึงปี 2539, 2546, 2553 และ 2561 เป็นที่สังเกตได้ว่า ช่วง 70 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2497 ไม่มีใครเข้ามาถือครอง และใช้ชีวิตในพื้นที่นั้น หากมองถึงกิจกรรมของประเทศเพื่อนบ้านที่ประเด็นในปัจจุบันนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนตามภาพถ่ายทางอากาศว่า มีการเคลื่อนไหวทางการทหารที่แตกต่าง […]