รัฐสภา 2 ก.พ.- “ไพบูลย์” ชี้แพ้เลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร แค่เขตเดียว เหมารวมมาตัดสินทั้งประเทศไม่ได้ ยันไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล มั่นใจยังอยู่ในใจประชาชน
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่-จตุจักร ที่พรรคพลังประชารัฐแพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคเพื่อไทยว่า ทุกอย่างเรียบร้อย การเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร เป็นเพียง 1 เขตเลือกตั้งใน 400 เขตเท่านั้น ยังเหลืออีก 399 เขต ซึ่งหลักสี่-จตุจักร จะถือเป็นข้อมูลกับทางพรรคที่จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดูแลประชาชน และเพื่อประโยชน์ของประเทศ
“เชื่อว่าการเลือกตั้งจะต้องรอไปอีกปีกว่า ทำให้ ส.ส.ของพรรคมีเวลาเข้าไปดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะเกิดขึ้นในปี 2566 ยืนยันว่าการเลือกตั้งเพียง 1 เขต จะนำมาตัดสินอีก 399 เขตที่เหลือไม่ได้ มั่นใจว่าบริบทในแต่ละเขตเลือกตั้งต่างกัน ทั้งมั่นใจด้วยว่าพรรคพลังประชารัฐมีความสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในใจของประชาชนอย่างแน่นอน” นายไพบูลย์ กล่าว
ส่วนปัญหาการเลือกตั้งซ่อมจะกระทบต่อเสถียรภาพของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่กระทบต่อเสถียรภาพของพรรค ส่วนที่เรียกร้องให้ยุบสภา ก็เห็นเรียกร้องกันมา 3 ปีแล้ว และต้องเรียกร้องต่อไปจนถึงปีที่ 4 โดยพรรคพลังประชารัฐ สามารถเดินหน้าต่อไปได้อยู่แล้ว ทุกพรรคการเมืองย่อมมีปฏิปักษ์ ที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรก็มีการแข่งขัน
สำหรับกรณีนพ.แพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านระบุว่าหากพรรคพลังประชารัฐไม่ปรับเปลี่ยนการทำงานการเลือกตั้งครั้งถัดไปจะได้ส.ส.ต่ำกว่า 50 คน นายไพบูลย์ กล่าวว่า พูดกันไป เป็นการพูดให้ร้ายคู่แข่งที่มีความสามารถ พรรคการเมืองมีการแข่งขันและพูดจาให้ร้ายกับพรรคการเมืองที่ตนเองรู้สึกว่าเป็นคู่แข่งที่มีความสามารถ ถือเป็นการดิสเครดิตกัน แต่พรรคพลังประชารัฐไม่ทำเช่นนั้น
เมื่อถามว่า หลังการเลือกตั้งได้พูดคุยกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และเรื่องเลือกตั้งผู้ว่า ฯ กทม.แล้วหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยเป็นการส่วนตัว และในพรรคก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้ด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดคุยเรื่องของสภา โดยส.ส.ทุกคนมีความกระตือรือร้นในเขตตนเองอยู่แล้ว
สำหรับกรณีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า โพสต์เฟซบุ๊กหลังเลือกตั้งหลักสี่ ระบุว่าศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน มีความกังวลหรือไม่ว่าส.ส.ทั้ง 21 คนจะไม่อยู่ฝั่งเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ กล่าวว่า อย่าไปคิดเยอะ เพราะเป็นเรื่องของการเมือง พูดกันไป ไม่มีสาระที่จะเอามาเป็นเรื่อง พรรคพลังประชารัฐมีงานอีกมากที่ต้องทำ มั่นใจว่า ไม่กระทบต่อเสถียรภาพของพรรค ส่วนคนที่เรียกร้องให้ยุบสภา ตนก็เห็นใจ เพราะเรียกร้องให้ยุบสภาตั้งแต่ปีแรก มีความเป็นห่วงว่าน่าอึดอัดและทนไม่ไหว หากทนไม่ได้ก็ให้ลาออกไป
“คำร้องยื่นขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐหลายกรณี โดยเฉพาะกลุ่มราษฎรยื่นขอให้ยุบพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในขณะนั้น คือ นายอุตตม สาวนายน เซ็นรับรองให้นายสิระ เจนจาคะ ลงสมัครส.ส.หลักสี่-จตุจักร ตนกลับไปดูข้อกฎหมายแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการบริหารพรรคและไม่มีข้อใดที่จะขอให้ยุบพรรคได้ ส่วนจะมีความผิดอาญาหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะกกต.รับรอง แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็เป็นไปตามนั้น ส่วนจะเอาผิดกับผู้เซ็นรับรอง คงลำบาก โดยเฉพาะของพรรคพลังประชารัฐ ให้ลืมไปได้เลย เพราะไม่มีข้อกฎหมาย ผู้ยื่นอาจจะยื่น เพราะไม่ชอบพลังประชารัฐ จึงทำให้ดูเป็นประเด็นใหญ่” นายไพบูลย์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย