หอประชุมกองทัพเรือ 27 ม.ค.- กองทัพเรือ ตั้ง”ศูนย์อำนวยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน กองทัพเรือ (ศอปน.ทร.)” เร่งขจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลในทะเลระยอง คาดสถานการณ์คลี่คลาย ใน 5 วัน หากถึงหาดแม่รำพึง ก็มีแผนรับมือได้ ด้านโฆษกกองทัพเรือ เผย ประเมิน ด้วยสายตา จากการบินสำรวจ การรั่วไหลอยู่ที่ 2 หมื่นลิตร ขณะกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กังวล คราบน้ำมัน ส่งผลทรัพยากรใต้ทะเล ทั้งแนวปาการัง และหญ้าทะเล ยืนยัน จะมีการเรียกร้องค่าเสียหาย
พลเรือโทปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ แถลงข่าวกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน กองทัพเรือ (ศอปน.ทร.) เพื่อเร่งขจัดคราบน้ำมันที่รั่วไหลในทะเลระยอง ตามที่กรมเจ้าท่าประสานมา โดยมีผู้ร่วมแถลงข่าวประกอบด้วย นางสาวพรพิมล เจริญส่ง ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษ , นายพิทักษ์ วัฒนพงศ์พิศาล ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ กรมเจ้าท่า และ- ดร.พรศรี สุทธนารักษ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
สำหรับศูนย์อำนวยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน กองทัพเรือ” มีหน้าที่อำนวยการ กำกับการ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 26 ม.ค. 65 และจะปฏิบัติภารกิจจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย
ด้าน พลเรือตรี วิฉณุ ถูปาอ่าง ผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคง กรมยุทธการทหารเรือ ได้เปิดเผยถึงการดำเนินการต่อไป สำหรับการดำเนินการต่อไปได้วางแผนการขจัดคราบน้ำมันในทะเล โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การขจัดกลุ่มคราบน้ำมันขนาดใหญ่ ดำเนินการโดยใช้ทุ่นลอบกัก แล้วใช้เครื่องดูดหรือ Skimmer ดูดคราบน้ำมันซึ่งถือว่าเป็นสารพิษอันตราย จากทะเลสู่ถังเก็บ แล้วนำส่งกรมอุตสาหกรรมเพื่อทำการทำลายต่อไป สำหรับในส่วนของการขจัดกลุ่มคราบน้ำมันที่มีทิศทางการเคลื่อนที่ที่เป็นอันตรายต่อชายฝั่งและพื้นที่เปราะบาง ดำเนินการโดยใช้ทุ่นล้อมเบี่ยงทิศการเคลื่อนที่ให้ออกห่างจุดเปราะบางไปสู่ทะเลเปิด แล้วทำการล้อมดักและดูดไปทำลายตามกระบวนการต่อไป
สำหรับแผนการขจัดคราบน้ำมันบริเวณชายฝั่ง แบ่งเป็น 2 ลักษณะ โดยแยกเป็นพื้นที่ชายฝั่งในทะเล ได้ประสานกับทางจังหวัด ในการใช้ทุ่นล้อมกันขึ้นฝั่ง ไม่ให้คราบน้ำมันขึ้นสู่ชายฝั่งซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก พื้นที่ชายฝั่งบนบก บริเวณที่เป็นหินจะใช้การฉีดน้ำให้คราบน้ำมันรวมตัวกัน แล้วตักเก็บไปทำลายบริเวณที่เป็นหาดทรายจะใช้รถแบ็คโฮลตักคราบน้ำมันที่ปะปนกับทรายแล้วนำไปทำลาย ทั้งนี้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะต้องสวมชุดป้องกันและสามารถปฏิบัติงานได้เพียง 4 ชั่วโมง ต่อวันเท่านั้น เนื่องจากสารพิษจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน
นายพิทักษ์ วัฒนพงศ์พิศาล ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ กรมเจ้าท่า ระบุ ได้ระงับการรั่วไหล ปิดวาล์วได้หมด พร้อมเฝ้าระวัง มลพิษ ที่ค่อนข้างมีปริมาณมาก จึงยกระดับให้ ทร. เป็นหน่วยบัญชาการเหตุการณ์ เร่งด่วน คือ การเฝ้าระวังการเคลื่อนไหว ดูทิศทางการเคลื่อนที่ และคลื่นลม ว่าจะไปทางใด และปริมาณ ที่ลงทะเล แพร่กระจายมากน้อยแค่ไหน
นางสาวพรพิมล เจริญส่ง ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษ เปิดเผย ถึงแนวทางของกรมคใบคุมมลพิษ คือ 1 ตรวจสอบค่าน้ำทะเล 2 ให้อนุญาต สำหรับปริมาณการใช้สารขจัดคราบน้ำมัน โดยสารดิสเพอร์แซนท์ โดยครั้งนี้ใช้ อัตรา 1:10 และ 3 จัดทำแผนฟื้นฟู
ดร.พรศรี สุทธนารักษ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยถึงความกังวล ของคราบน้ำมัน ที่จะส่งผลทรัพยากรใต้ทะเล ที่มี แนวปาการัง 150 ไร่ และหญ้าทะเล 300 ไร่ พร้อมยืนยันว่า จะมีการเรียกร้องค่าเสียหาย ที่เกิดขึ้น ทั้งการดำเนินการ และทรัพยากร ที่เสียหาย และในระยาว ซึ่งจะมีการตั้งกองทุนฟื้นฟู ทรัพยากรด้วย
ส่วนตัวเลขการรั่วไหลน้ำมับดิบ ที่บริษัทผู้ดำเนินการแจ้งว่า กว่า 4 แสนลิตร และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุเพียง 2 หมื่นลิตร ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายพิทักษ์ ระบุว่า เป็นการประเมินการณ์ ว่า 4 แสนลิตร เพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ รับมือสถานการณ์
ขณะที่ พลเรือตรี วิษณุ ระบุ วิศวกร ของบริษัท แจ้งล่าสุด มีน้ำมั่น 20-50 ตัน ต่างจากครั้งแรก ที่แจ้งไว้ และระบุ ยังมีน้ำมัน คงเหลือ 5.3 ตัน
โฆษกกองทัพเรือ ระบุว่า ขณะนี้เมื่อดูสภาพจริงลดลงเยอะ เบากว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังไม่รู้ตัวเลขแน่ชัด แต่จากใช้เครื่องบิน บินสำรวจ ลาดตระเวนด้วยสายตา คาดว่า ตัวเลข 2 หมื่นลิตร น่าจะใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง พร้อมมองว่า ทางบริษัท คงไม่มีเจตนาปกปิดปริมาณน้ำมันที่รั่วไหล เพราะยิ่งปิด จะยิ่งสร้างความเสียหาย ขอให้มั่นใจการทำงานของกองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยคาดการณ์ว่า ระยะเวลาในการดำเนินการจะใช้เวลา 5 วัน เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของทะเลในขณะนั้นด้วย ทั้งนี้โชคดีที่ระยะนี้คลื่นลมสงบ เคลื่อนเข้าฝั่งช้า แต่จากทิศทางลมนั้น ยืนยัน มีแนวโน้มว่าจะเข้าฝั่ง ทั้งนี้ ยืนยันว่า จากการประเมินความลึกทะเลอยู่ที่ 27 เมตร ซึ่งการใช้สารเคมี ดิสเพอร์แซนท์ จะต้องใช้ในระดับความลึก 10 เมตร ขึ้นไป
ส่วนกรณีความผิดนี้ ใครเป็นผู้ทำให้รั่วไหล ก็ต้องรับผิดชอบ โดยการคำนวน ค่าเสียหาย บ่ายนี้ จะประชุมแผนฟื้นฟูทรัพยากร ส่วนความเสียหาย อาจจะใช้โมเดล ปี 56 หรือจากในสถานการณ์ อื่น ขณะนี้ยังไม่ได้ประเมินตัวเลข ขั้นตอนการเอาผิดทางกฎหมาย
ส่วนยืนยันได้หรือไม่ ว่าคราบน้ำมัน จะไม่มาถึงหาดแม่รำพึง ในวันที่ 28 ม.ค. 2565 ดร.พรศรี ระบุว่า จะพยายาม ในการล้อมวงไม่ให้ขึ้นฝั่ง คาด สามารถ ป้องกันได้ แต่หากขึ้นหาด ก็เชื่อว่าไม่มากนัก และมีแผนรับมือ.-สำนักข่าวไทย