รัฐสภา 11 ส.ค.-“พล.ต.อเสรีพิศุทธ์” แจงปมล่วงล้ำลำน้ำแควน้อย ขออนุญาตถูกต้อง เตรียมใช้อำนาจประธาน กมธ.ป.ป.ช. เรียกป่าไม้ เจ้าท่าแจง
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึงกรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้องในคดีขอเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมเจ้าท่าที่ให้รื้อถอนสิ่งล่วงล้ำลำน้ำในแม่น้ำแควน้อย ว่า ที่ดินแปลงนี้ซื้อมาตั้งแต่ปี 2535 ระยะเวลา 30 ปีแล้ว เป็นที่ดินติดแม่น้ำแควน้อย แต่ปรากฎว่าต้นไม้ถูกกระแสน้ำกัดเซาะ จึงต้องเชิญเจ้าท่ากาญจนบุรีสมัยนั้นมาดูว่าที่ดินถูกน้ำกัดเซาะ ต้นไม้ล้ม จะขออนุญาตทิ้งหินเพื่อกันน้ำเซาะ ตลิ่งจะได้ไม่พัง และได้มอบอำนาจให้ไปขออนุญาตทิ้งหินถมดินป้องกันน้ำเซาะหน้าที่ดิน ประมาณ 100 เมตร ซึ่งกรมเจ้าท่าได้อนุญาต มีข้อตกลงเป็นตัวหนังสือว่าก่อนจะดำเนินการและหลังดำเนินต้องเชิญมาดู ยืนยันว่าขออนุญาต ตรวจสอบความถูกต้องจากเจ้าท่าผู้มีอำนาจในขณะนั้น ไม่ได้ทิ้งหินถมดินโดยพลการ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว กลับถูกร้องเรียนรวมทั้งเปลี่ยนเจ้าท่าคนใหม่ก็มาตรวจสอบ ไม่สอบถามคนเก่า เข้ามาโดยพลการ ไม่บอกกล่าวตนในฐานะเจ้าของที่ดิน แต่กลับบอกว่าทิ้งหินถมดินเกินไป และมีหนังสือให้รื้อถอน ตนจึงยื่นอุทธรณ์ไปที่ปลัดกระทรวงและฟ้องศาลว่าเจ้าท่าคนนี้บุกรุกและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ศาลพิพากษายกฟ้องไป จนเป็นเหตุให้ตนไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง แต่เมื่อศาลวินิจฉัยว่าคำสั่งของเจ้าท่าที่ให้ตนรื้อถอนที่ดินที่ล่วงล้ำลำน้ำไปถูกต้องแล้วก็จบอยู่แค่นี้
“ผมและกรมเจ้าท่าต้องมาตกลงกัน อยู่ดี ๆ จะไปรื้อได้อย่างไร เพราะมันไม่เหมือนตึก และสิ่งสำคัญใครจะเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อ ซึ่งถ้าผมทิ้งหินถมดินโดยพลการแน่นอนผมต้องออกค่าใช้จ่าย แต่ผมขออนุญาตถูกต้องโดยชอบกฎหมาย ดังนั้นตรงนี้ต้องตกลงกัน ใครเป็นรื้อ ใครออกค่าใช้จ่าย” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีคนไปตรวจค้นที่ดินที่ทองผาภูมิ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ขอชี้แจงว่า หลังจากมีคำพิพากษาเป็นเรื่องของตนกับกรมเจ้าท่า ไม่ได้เป็นเรื่องของส่วนราชการอื่นเลย แต่รัฐบาลนี้ ใครอยู่เบื้องหลังก็ไม่รู้ ส่งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปขอศาลเพื่อทำการตรวจสอบที่ดินตรงที่เกิน มันเกี่ยวอะไรกับกรมป่าไม้ โดยไม่ได้ศึกษาเลยว่าที่ดินของตนมี 2 โฉนด เมื่อได้หมายก็เข้ามาเลย แต่การจะผ่านที่ดินแปลงที่ 2 มันต้องผ่านที่ดินแปลงแรก เมื่อไม่ได้ขอแปลงแรกเท่ากับบุกรุกหรือไม่
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนมีบ้านหลังหนึ่งใกล้ ๆ สภาฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตนก็ขอสร้างท่าเทียบเรือโดยชอบกฎหมาย สร้างมา 20 ปี เคยมีคนไปแจ้งความดำเนินคดีว่าสร้างเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตรวจสอบแล้ว อัยการก็สั่งไม่ฟ้อง แต่ส.ส.คนหนึ่งพาเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ และแจ้งความเนินคดีอ้างว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นป่า กล่าวหาว่าสร้างท่าเทียบเรือโดยไม่ขออนุญาตกรมป่าไม้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายที่ดิน ป่า หมายถึงที่ดิน ไม่มีบุคคลใดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เลยมองว่าแม่น้ำเจ้าพระยาไม่มีใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เลยถือว่าเป็นป่า เมื่อถือว่าเป็นป่า ดังนั้น เรือทุกลำที่สัญจรไปมาในแม่น้ำก็รุกป่า รวมทั้งโรงแรม ท่าเทียบเรือ แม้กระทั่งกรมเจ้าท่า หรือสภาฯก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ตนจับความได้ว่าการมากล่าวหาว่าบุกรุกแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นป่า กรมป่าไม้ก็เลยไปขอหมายค้นเพื่อที่จะดำเนินคดีกับตนว่าบุกรุกป่า
“ขนาดผมมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ยังกล้ากับผมแบบนี้ เพราะผมไม่มีอำนาจบริหารแต่งตั้ง โยกย้าย ให้ความดีความชอบ แล้วกับประชาชนจะไม่ถูกข่มเหงหรือ เมื่อกล้าก็ต้องเจอกัน อย่างไรก็บุกรุกที่ดินผมแน่ เพราะฉะนั้นอยากจะถามว่าบ้านเมืองอยู่ด้วยกฎหมายหรืออยู่ด้วยอะไร ไม่ใช่ใครเป็นศัตรูก็แกล้งเขา ผมไม่เคยกลั่นแกล้งใครเลย หรือแม้แต่กรณีตรวจสอบนายกรัฐมนตรีถวายสัตย์ฯไม่ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ผมถูกขัดขวางมาโดยตลอด แต่ที่ต้องทำเพราะต้องการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ ซึ่งตรวจสอบจะเสร็จแล้ว” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนเป็นเจ้าหน้าที่ก็ยินดีให้การตรวจสอบแต่ใครทำผิดกฎหมายก็ต้องรับไป ดังนั้น ตนจะใช้อำนาจประธานกมธ.ป.ป.ช. เรียกกรมป่าไม้ กรมที่ดิน กรมเจ้าท่ามาตรวจสอบ นำเอกสารมาดูว่าเข้าไปยังที่ดินตนได้อย่างไร ไปขอหมายค้น เขียนคำร้อง ให้ปากคำกับศาลอย่างไร ผลการตรวจค้นเป็นอย่างไร แจ้งสถานีตำรวจอย่างไร พาเข้าเส้นทางใดบุกรุกหรือไม่.-สำนักข่าวไทย