ทำเนียบรัฐบาล 23 ก.ค.-กทม.เตรียมชี้แจงภาพรวม Rapid Test ขอให้เข้าสู่ระบบตรวจเพื่อเข้าระบบการรักษาได้เร็ว พบการแยกตัวรักษาที่บ้านได้ผลดี เบิกค่าใช้จ่ายได้ปกติ ย้ำต้องพักปอด อย่าออกนอกบ้านตามคำชักชวน อาจไม่ปลอดภัย เตรียมประชุมปรับระดับการดูแลผู้ป่วย
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า การประชุม ศบค.ชุดเล็ก ได้หารือเรื่องการดูแลผู้ติดเชื้อใน กทม. ซึ่งมีผู้ติดเชื้อ 3,104 ราย ยังไม่รวมการตรวจด้วยวิธี Rapid Test ที่มีผลบวกอีกกว่า 2,000 ราย โดยใน 1-2 วันนี้ กทม.จะรวบรวมตัวเลขการตรวจทั้งหมดรายงานให้เห็นภาพรวม และจะชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า แต่ละเขตสามารถไปตรวจหาเชื้อได้ที่ไหนบ้าง
“จากข้อมูลพบว่า การตรวจเชิงรุกในพื้นที่ กทม. 100 ราย จะพบผู้ติดเชื้อ 11% และถ้ามีประวัติเป็นผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อ จะมีผลยืนยันตามมาทีหลัง 15% หรือถ้าเป็นผู้มีอาการจากระบบทางเดินหายใจจะกลายเป็นผู้ติดเชื้อได้ถึง 25% ดังนั้น ขอให้ทุกคนสำรวจตัวเองและพยายามเข้าสู่ระบบการตรวจ เพื่อจะได้เข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วที่สุด” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว
พญ.อภิสมัย กล่าวถึงการรับผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาว่า รองอธิบดีกรมการแพทย์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ป่วยรอเตียงเพิ่ม 868 ราย ซึ่งที่ผ่านมา กทม.ปิดเคสผู้ป่วยรอเตียงได้ทั้งสิ้น 121,457 ราย แต่ยังมีประชาชนที่ไม่เข้าสู่ระบบ ซึ่งกระบวนการทำงานกำลังเร่งอย่างที่สุด ผู้อยู่ระหว่างรอการจัดสรรเตียงจะได้รับการจัดสรรโดยเร็ว โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยสีแดงถึง 40 ราย จะเร่งนำเข้าระบบโดยเร็วที่สุด และใน 1-2 วันนี้จะมีข้อมูลชัดเจนว่า ผู้ป่วยระดับสีใดอยู่ในพื้นที่ใดใน 50 เขตของ กทม.
“ปริมาณผู้ป่วยใน กทม. พบว่า 70-80% เป็นผู้ป่วยสีเขียวอ่อนและเขียวเข้ม เมื่อได้รับการยืนยันเป็นผู้ติดเชื้อ หากอาการอยู่ในระดับสีเขียว อาจจะไม่ได้เข้าโรงพยาบาล ไม่จำเป็นต้องหาเตียง เพราะแนวทางปฏิบัติในปัจจุบันเน้นให้ดูแลตัวเองที่บ้าน จึงต้องประเมินตัวเองว่ามีอาการอยู่ในระดับไหน ระดับสีเขียว คือ ผู้ที่ยังมีอาการแข็งแรง ติดเชื้อ อายุน้อย จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ถ่ายเหลว แต่ไม่มีอาการระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้ จากการศึกษาโฮมไอโซเลชั่นที่หลายหน่วยงานดำเนินการมาแล้ว 2 สัปดาห์ พบว่าการแยกกักตัวที่บ้านได้ผลดี” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า กรมการแพทย์ รายงานว่า หากตรวจแล้วได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อ สามารถขอเข้าโฮมไอโซเลชั่นได้ที่โรงพยาบาลที่ไปตรวจ เพราะโรงพยาบาลที่รับตรวจหลายโรงพยาบาลเริ่มระบบนี้แล้ว แต่ถ้าตรวจที่แล็บเอกชน หรือเอ็นจีโอที่รับตรวจ แต่ไม่มีโรงพยาบาลรองรับ สามารถติดต่อได้ที่หมายเลข 1330 กด 14 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งจะเพิ่มคู่สายจาก 100 คู่สาย เป็น 200 คู่สาย รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะจัดหมายเลขของสำนักงานเขตใน กทม.ทั้ง 50 เขต อำนวยความสะดวกให้ประชาชน
“เมื่อเข้าระบบนี้แล้วจะมีคลินิกอบอุ่น 161 แห่ง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) 69 ศูนย์ และโรงพยาบาลหลักที่จะดูแลให้เข้าระบบโฮมไอโซเลชั่น โดยจะได้รับกล่องรอดตายของ กทม. ที่มีเครื่องวัดอุณหภูมิ อุปกรณ์ต่างๆ ให้ความช่วยเหลือ ส่วนการเบิกจ่าย สปสช.เน้นย้ำว่า แม้รักษาตัวที่บ้าน แต่สามารถเบิกจ่ายได้ตามปกติ รวมทั้งค่าเอกซเรย์ ค่ารถหากต้องส่งต่อไปโรงพยาบาล ค่าอาหาร 3 มื้อ ขณะนี้ระบบอาจยังไม่สมบูรณ์ แต่มีข้อมูลมากพอสมควรที่จะให้ผู้ติดเชื้อใน กทม. เข้าถึงการดูแลโดยเร็วที่สุด และจะมีการจ่ายยาให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะยาฟาวิพิราเวียร์ และหากใครมีประกันสังคม สามารถติดต่อไปที่ 1506 กด 6 ได้ด้วย” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า กรณีที่มีข้อจำกัด เช่น ในครอบครัวมีกันอยู่หลายคน ทั้งเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ สภาพบ้านไม่พร้อมให้แยกกักที่บ้าน คอมมูนิตี้ไอโซเลชั่น หรือการแยกกักในชุมชน หรือศูนย์พักคอย เป็นคำตอบที่ช่วยได้ ซึ่งขณะนี้มีคนเข้าระบบแล้ว 1,682 คน ใน กทม.เปิดแล้ว 22 เขต กำลังจะเปิดอีก 14 เขต และอีก 14 เขต กำลังเตรียมสถานที่ ซึ่งจะมีสภากาชาดไทย ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ เข้ามาช่วยกัน
“ต้องขอขอบคุณทุกฝ่าย เพราะศูนย์พักคอยจะเปิดรับประชาชนที่ติดเชื้อ มีอาการระดับสีเขียว ไม่สะดวกที่จะกักตัวอยู่ที่บ้าน สามารถเข้าไปรับการดูแล โดยที่จะมีโรงพยาบาล 25 แห่ง เป็นเหมือนพี่เลี้ยงคอยดูแล ขอให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย โดย 25 โรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร 11 แห่ง สังกัดกรมการแพทย์ 3 แห่ง โรงเรียนแพทย์ 4 แห่ง โรงพยาบาลเอกชน 7 แห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การระดมความช่วยเหลือทั้งเรื่องสถานที่ การจัดการ บุคลากร มีความพยายามอย่างสูงสุดที่จะรองรับประชาชนที่ติดเชื้อ รวมทั้งโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลที่จะรองรับผู้ป่วยระดับสีเหลือง สีแดง ขอเน้นย้ำประชาชนให้ติดตามข้อมูลข่าวสารและดูจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ต้องขอบคุณสื่อมวลชนจำนวนมากที่พยายามสรุปข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ติดเชื้อว่าจะสามารถเข้าสู่ระบบได้อย่างไร ศบค.จะพัฒนาและนำข้อมูลมาสรุปให้อย่างทันกาลที่สุด” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาจะมีข่าวการเชิญชวนให้ผู้ติดเชื้อออกจากบ้านไปรวมตัวกันที่ใดที่หนึ่ง ขอเน้นย้ำว่า ผู้ติดเชื้อมีความเสี่ยงที่อาการอาจทรุดลงได้ จึงขอให้อยู่บ้านและติดต่อหมายเลขที่ระบุไว้ให้ ซึ่ง ศบค.จะพัฒนาระบบให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กรมการแพทย์ ย้ำว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องพักปอด พักสุขภาพร่างกาย หากออกมานอกบ้านอาจจะมีความไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้มีโรคประจำตัว หรือน้ำหนักเกิน ที่สำคัญมีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปยังชุมชน หรือบุคคลที่ได้ไปสัมผัสและพูดคุยด้วย
“ศบค.ยินดีรับฟังรายงานข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ การจัดการที่ไหนยังมีข้อบกพร่อง เรายินดีน้อมรับข้อเสนอแนะเหล่านั้น และขอให้ทุกคนร่วมมือกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบการรักษาดูแลที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้ขยายโรงพยาบาลสนามมากขึ้น แต่บุคลากรทางการแพทย์ทำงานอย่างหนักถึงขั้นขาดแคลนแล้ว ศบค.จะบริหารจัดการอย่างไร พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ภายใน 1-2 วันนี้ จะสรุปเรื่องโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลที่สามารถดูแลผู้ป่วยระดับสีเหลือง สีแดง โรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งเดิมเป็นสีเหลือง ขณะนี้ปรับเพื่อรับผู้ป่วยสีแดงเพิ่ม โรงพยาบาลสนามเดิมเป็นผู้ป่วยสีเขียว ขณะนี้มีอุปกรณ์ บุคลากรสามารถจะพัฒนาขึ้น ยกระดับเป็นโรงพยาบาลสนามสีเหลืองได้
“ส่วนในแง่ของบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือบุคลากรจากต่างจังหวัดโยกมาช่วยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่ขณะนี้หลายจังหวัดสถานการณ์หนักขึ้น หลายพื้นที่ในต่างจังหวัด ระบบเตียงเพิ่มสูงขึ้นถึง 70% แล้ว โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น บุคลากรจึงต้องโยกกลับไปดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ ซึ่งวันนี้ กรมการแพทย์ กรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข สภากาชาดไทย และภาคประชาสังคมต่างๆ จะประชุมหารือกันเวลา 15.00 น. เรื่องโฮมไอโซเรชั่น คอมมูนิตี้ไอโซเรชั่น รวมทั้งเตียงในระดับเหลือง-แดง ว่าจะปรับอย่างไรบ้าง.-สำนักข่าวไทย