“ดงครั่งน้อย” ร้อยเอ็ด งานดีคว้าตำแหน่ง “ดีเลิศ”

กทม. 8 ก.ค.-พช.ประกาศผลสุดยอดผู้นำการเปลี่ยนแปลง 2564 “ดงครั่งน้อย” ร้อยเอ็ด งานดีคว้าตำแหน่ง “ดีเลิศ” รับ 1 ล้านบาท ต่อยอดเสริมแกร่ง สร้างพลังชุมชน ใช้พลังชุมชนในการพัฒนาชุมชน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กรมการพัฒนาชุมชน ได้ให้ความสำคัญในการเสริมสร้างผู้นำชุมชน โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพ ยกระดับขีดความสามารถของผู้นำชุมชน เพื่อกลไกในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในทุกระดับ เป็นกำลังหลักในการ “คิด ทำ นำ เปลี่ยน” สร้างพลังชุมชน ใช้พลังชุมชนในการพัฒนาชุมชน ผ่านโครงการเสริมสร้างและพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อบ่มเพาะพลังและความสร้างสรรค์ ในบริหารจัดการ กำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในบริบทและภูมิสังคม ที่เห็นถึงรูปธรรมของการขับเคลื่อนภายใต้คติพจน์ (Motto) ว่า “1 หมู่บ้าน สามารถดูแลได้ทั้งตำบล สร้างความมั่นคงทางอาหาร บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” จากผู้นำการเปลี่ยนแปลงทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการฯ 1,000 ตำบล โดย ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 กรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดกิจกรรมคัดเลือกผู้นำการเปลี่ยนแปลงระดับดีเลิศอย่างเข้มข้น จากผู้นำ 76 จังหวัด คัดเลือกสู่รอบดีเด่น 18 ตำบล ใน 18 เขตตรวจราชการ และค้นหา the best of the best เพียง 1 ตำบลต้นแบบ หนึ่งเดียวระดับประเทศ โดย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาชุมชน ซึ่งได้รับการยอมรับจากหน่วยงานภาคี จำนวน 11 ท่าน อาทิ ดร.นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ท่านที่ 17 ,นายไมตรี อินทุสุต ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ,พลตรีนพดล ปิ่นทอง รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ,นายคณิต ธนูธรรมเจริญ ข้าราชการบำนาญ ข้าราชการพลเรือนในสังกัดสำนักพระราชวัง ,นายบรรหาญ เนาวรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโก่งธนู ,รศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และ ผศ.พิเชฐ โสวิทยสกุล อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นต้น ตัดสินให้ ตำบลดงครั่งน้อย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด รับรางวัลเชิดชูเกียรติผู้นำการเปลี่ยนแปลงดีเลิศ และรับงบประมาณสนับสนุน 1,000,000 บาท เพื่อนำไปต่อยอดเสริมความเข้มแข็ง ชุมชน ตำบล บูรณาการงานเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม และสร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน


กุญแจแห่งความเป็นเลิศของ ตำบลดงครั่งน้อย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด 1 ใน 193 ตำบล ของจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นชุมชนแห่งการผลิตหอมมะลิอินทรีย์ ชั้นดีของโลก ที่มีทุนในชุมชนหลากหลาย ทั้ง ทุนมนุษย์ ทุนเงิน ทุนธรรมชาติ ทุนสังคม ทุนภายภาพ โดยนำทุนเหล่านี้มาเป็นปัจจัยในการพัฒนาหมู่บ้าน ชุมชน มาอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างและพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผู้นำชุมชนร่วมกับประชาชน ภาคีเครือข่าย ได้ดำเนินการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน โดยยึดหลักการพัฒนา บวร (บ้าน วัด ราชการ) บรม (บ้าน ราชการ มัสยิด) ครบ (คริสต์ ราชการ บ้าน) ใช้พลังชุมชนในการขับเคลื่อนพัฒนาชุมชน โดยผู้นำชุมชนทำก่อนเป็นต้นแบบ แล้วขยายผลไปทุกครัวเรือน จนเกิดผลสำเร็จใน 3 ด้าน โดยริเริ่มจาก ด้านสร้างความมั่นคงทางอาหาร ในกิจกรรมขยายพื้นที่ปลูกผักปลอดสารพิษ พิชิตโควิด – 19 และไม้ผลในบริเวณบ้านมากกว่า 10 ชนิด ที่ 1,755 ครัวเรือน หรือ 100% ของครัวเรือนในตำบลดงครั่งน้อย ทำให้ลดรายจ่ายได้อย่างน้อย 50 บาทต่อวัน และนำผลดีดังกล่าวขยายผลจากรอบรั้วบ้านตนเอง สู่การปลูกในพื้นที่สาธารณะรอบหนองน้ำ บริเวณพื้นที่ทำการเกษตรแบบผสมผสานตามหัวไร่ปลายนา ในรูปแบบแปลงรวม ทำให้เกิดการเพิ่มรายได้ครัวเรือนละ 500 – 1,000 บาทต่อเดือน จากผลผลิตสด และแปรรูป อาทิ น้ำผัก/ผลไม้เพื่อสุขภาพ สลัดโรล โดนัทจากแป้งข้าวหอมมะลิ สบู่ข้าวหอมมะลิ เป็นต้น นอกจากการสร้างความมั่นคงทางอาหารที่ช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้แล้ว ยังก่อเกิดประโยชน์สาธารณะ ทั้ง 13 หมู่บ้านร่วมสร้างแหล่งอาหารด้วยการปลูกผักริมถนน 1 หมู่บ้าน 1 ถนนกินได้ ,ปลูกผักในวัด 8 แห่ง ,โรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 10 แห่ง ,องค์การบริหารส่วนตำบลดงครั่งน้อย และสานต่อความมั่งคงในทุกหมู่บ้านด้วยการจัดตั้งธนาคารเมล็ดต้นกล้าพืชผัก

สำหรับในด้านการสร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ชาวตำบลดงครั่งน้อยทุกครัวเรือน มีการจัดสุขลักษณ์ การปรับสภาพภูมิทัศน์ ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดย การบริหารจัดการขยะ กิจกรรมทำถังขยะเปียกรักษ์โลก ธนาคารขยะ การจัดสุขลักษณะในบ้านให้น่าอยู่ ร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรม “เดือนละวันฉันและเธอ เป็นการร่วมกันพัฒนาหมุนเวียนไปทุกหมู่บ้าน” อาทิ การปรับสภาพภูมิทัศน์หมู่บ้าน ,การปลูกต้นไม้ในที่สาธารณะ ตลอดจนการเปิดโอกาสในทุกครัวเรือนร่วมวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การปลูกป่าในที่สาธารณะ การดูแลรักษาแหล่งน้ำลำคลอง การใช้พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานสะอาด นำน้ำมาใช้ในพื้นที่เกษตรอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการประยุกต์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน BCG Model คือ การใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Bio Economy) เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และทั้ง 2 นี้อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาสังคมได้อย่างสมดุล


ในส่วนของการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม นับสิ่งที่ส่งเสริมความเข้มแข็งของสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้น โดยอาศัยการปฏิบัติศาสนกิจสำคัญทางศาสนาทุกครัวเรือน รณรงค์“งานบุณ งานเศร้า ปลอดหล้า ปลอดบุหรี่” “ฮีตสิบสอง คองสิบสี่” ยึดขนบธรรมเนียม ประเพณี ภูมิปัญญาที่งดงาม ทั้ง 12 เดือน เป็นการผสมผสานพิธีกรรมความเชื่อ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน ยึดเหนี่ยวให้คนในชุมชน มีความรัก ความเอื้ออาทร ผนึกกำลังเป็นเอกภาพ อีกทั้ง การต่อยอดนำผลผลิต พืช ผักสวนครัวจากทุกครัวเรือน รวมทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภค ตามกำลังศรัทธา นำมาร่วมจัดกิจกรรม “ปันรัก ปันสุข” 1 ครั้ง ทุกสัปดาห์ ทุกหมู่บ้าน เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูล คนในชุมชน คนยากไร้ กลุ่มเปราะบางในสังคม บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลสนามร้อยเอ็ด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) อีกด้วย เหล่านี้เป็นความสำเร็จส่วนหนึ่ง จากพลังของผู้นำชุมชนในฐานะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ร่วมกับชาวตำบลดงครั่งน้อย ได้บูรณาการกับทุกภาคีเครือข่าย ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมพัฒนา ร่วมติดตามอย่างครบวงจรในการขับเคลื่อนกิจกรรมสร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม ทำให้วันนี้ตำบลดงครั่งน้อย มีความมั่นคงทุกด้านนำไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแท้จริง

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความยินดี และชื่นชมในความเพียรพยายามสร้างสรรค์ชุมชนให้เข้มแข็งด้วยความรู้ คู่คุณธรรม สำหรับตำบลดงครั่งน้อย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ได้รับการชูเกียรติผู้นำการเปลี่ยนแปลงระดับดีเลิศ รวมตลอดถึงระดับดีเด่น 17 ตำบล และพื้นที่เป้าหมายทั้ง 1,000 ตำบล 15,000 คน ทั่วประเทศ ความสำเร็จของโครงการนี้นอกจากการเชิดชูเกียรติ สร้างแรงจูงใจต่อการขับเคลื่อนงาน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น Change for Good แล้ว ยังมีนัยยะถึงการเสริมสร้างพลังบวกพัฒนาผู้นำ โดยคุณค่าวัดจากความสุขที่สมดุลและยั่งยืนใน 4 มิติ เป็นอย่างน้อย ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เป็นหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาความยากจน พัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นเวทีสรุปผลการดำเนินงาน และการประกวดผู้นำการเปลี่ยนแปลงดีเลิศ ผลงานการขับเคลื่อนเชิงคุณภาพดังกล่าว จะเป็นแบบอย่างในการถอดบทเรียนความสำเร็จ บนพื้นฐานของความสมดุลพอดี และความพอประมาณอย่างมีเหตุผล ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขยายผลเป็นแบบอย่างสร้างพื้นที่เป้าหมายทั้งหมดเป็นแหล่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และศูนย์แบ่งปันสร้างสรรค์นวัตกรรมชุมชน หนุนสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน อย่างเป็นรูปธรรมให้กระจายไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศไทย ที่สำคัญอย่างที่สุด คือ การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของรัฐบาลต่อไป.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดเนื้อหาหนังสือแจง UNSC กัมพูชาวางทุ่นระเบิด-เริ่มยิงก่อน

25 ก.ค.- เปิดเนื้อหาหนังสือจากผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นิวยอร์ก เพื่อชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ส่งหนังสือชี้แจงต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ขอแจ้งให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกท่านทราบ ถึงสถานการณ์อันร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย อันเป็นผลจากการรุกรานทางทหารของประเทศกัมพูชา โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.     เมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2025 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยกำลังลาดตระเวนตามเส้นทางปกติที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ภายในอาณาเขตของประเทศไทย ทหารได้เหยียบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ส่งผลให้ทหาร 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสส่งผลถึงขั้นพิการถาวร ขณะที่ทหารนายอื่น ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุ่นระเบิด PMN-2 ทั้งหมดที่พบอยู่ในสภาพใหม่ ยังมีเครื่องหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน หลักฐานบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้ยื่นรายงานประจำปีเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินการตามพันธกรณีในอนุสัญญาดังกล่าว ตามมาตรา 7 ของอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 และต่อมา ได้ทำลายทุ่นระเบิดทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อการฝึกอบรมและการวิจัยในปี ค.ศ. […]

“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน”

ก.มหาดไทย 25 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เชื่อประชาชนคิดเหมือน “ทักษิณ” ขอให้กองทัพลบเหลี่ยม “ฮุนเซน” ชี้รับฟังทุกความไม่พอใจ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามยุทธวิธี ให้ทหารมีอิสระในการทำงาน มอง “ก่อแก้ว” ขอศาล รธน. คืนอำนาจให้ “แพทองธาร” เป็นความเห็นเหมือนประชาชนจำนวนมาก แต่ให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุถึง อยากให้กองทัพสั่งสอนความเจ้าเล่ห์ของฮุนเซนก่อน ว่า ก็เหมือนประชาชนทั่วไป ที่เวลานี้มีความรู้สึกเช่นนั้น หลายคนแสดงความเห็นให้ทำแบบนู้นแบบนี้ เราก็รับฟังความห่วงใยความไม่พอใจที่เราถูกกระทำ ตนเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเห็นว่าเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพราะเรื่องอธิปไตยของประเทศ การรุกล้ำเข้ามา กระทบประชาชนเรายอมไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายจะเห็นว่าเราประนีประนอม (Compromise) ให้มากที่สุด แต่เมื่อสิ่งดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และเป็นปัญหา วันนี้จึงได้สั่งการให้ทหารมีอิสระในพื้นที่ โดยผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นผู้คุมยุทธการ ปฏิบัติได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงได้มีการทำความเข้าใจกับ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีการโทรคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด […]

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% ไม่พอใจเข้มปราบแก๊งคอลฯ

กระทรวงวัฒนธรรม 26 ก.ค.- “แพทองธาร” เปิดใจ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ แฉกัมพูชาไม่พอใจไทยร่วมมือลาว – เมียนมา ปราบคอลเซ็นเตอร์ เผยสื่อนอกยังตั้งข้อสังเกต “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100% นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยนางสาวแพทองธารได้ยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่าง ๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า มีสำนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นท์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ […]

“เสธ.เบิร์ด” ชี้เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” ถือเป็นภัยคุกคาม

26 ก.ค.- “เสธ.เบิร์ด” ชี้ เขมรขู่ขยับ “ขีปนาวุธ PHL-03” วิถีไกล 130 กม. ถือเป็นภัยคุกคาม มองไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากกรณีกองทัพภาคที่ 2 เตือนเฝ้าระวังกัมพูชายิงขีปนาวุธ PHL-03 วิถีไกล 130 กม. เพื่อพุ่งเป้าหมายพื้นที่ยุทธศาสตร์และที่ตั้งทหารนั้น ล่าสุด พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 เป็นการขู่ และถือเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นถ้าไทยใช้การทำลายทางลึกถือว่าเหมาะสม จากการที่กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยใช้ปฏิบัติการทางอากาศเกินกว่าเหตุนั้น เราไม่ทำเกินกว่าเหตุ แต่สิ่งที่เราทำนี้เป็นเหตุผล เพราะฝ่ายกัมพูชา เคลื่อนกำลังจำนวนมากมาประชิดชายแดน ใช้อาวุธยิงระยะไกลทำร้ายประชาชนของไทย ทั้งโรงพยาบาล โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน ทำให้ประชาชนชาวไทยบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการมีภาพข่าวการเคลื่อนอาวุธยิงระยะไกล ถือว่าเป็นการข่มขู่คุกคามความมั่นคงของไทยอย่างชัดเจน ดังนั้นการปฏิบัติการทางอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การปฏิบัติการทางอากาศของไทยทำลายเป้าหมายทางทหารเท่านั้น และมีความแม่นยำ -สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านลดต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย

น่าน 26 ก.ค.- สถานการณ์น้ำท่วมตัวเมืองน่าน ลดลงต่อเนื่อง ส่วนอีกหลายจุดยังอ่วม ท่วมสูงกว่า 1 เมตร ชาวบ้านเริ่มสำรวจความเสียหาย ย่านการค้าและเศรษฐกิจสำคัญของเมืองน่าน บริเวณถนนสุมณเทวราช ซึ่งเคยน้ำท่วมสูงเกือบถึงคอ แต่ตอนนี้น้ำลดลงเหลือประมาณหน้าขา เท่ากับลดไปราว 1 เมตร แต่บริเวณโดยรอบยังมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ โดยเฉพาะที่ลุ่มต่ำ ยังท่วมสูงกว่า 1 เมตร ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจความเสียหายของโรงแรงแห่งหนึ่งกลางเมืองน่าน ซึ่งสภาพภายในเต็มไปด้วยคราบโคลน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ที่จอดไว้เสียหายจำนวนมาก ขณะที่เจ้าของร้านค้าย่านนี้ เริ่มสำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม อีกจุดหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักคือที่โรงพยาบาลน่านที่ถูกน้ำท่วมสูงเต็มพื้นที่ 40 ไร่ บางจุดท่วมเกือบมิดหัว ตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ตามอาคารต่างๆ น้ำทะลักท่วมยาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ได้รับความเสียหาย แต่ผู้ป่วยใน ราว 3 ร้อยคน ยังปลอดภัย คุณหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เร่งช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อให้โรงพยาบาลกลับมาเปิดบริการตามปกติให้เร็วที่สุด ช่วงสายที่ผ่านมา นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายใจกลางเขตเศรษฐกิจเมืองน่านด้วย -สำนักข่าวไทย