ทำเนียบรัฐบาล 29 มิ.ย. -ครม.เห็นชอบหลักการเยียวยาลูกจ้าง-ผู้ประกอบการใน 6 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด 1 เดือน พร้อมเพิ่มเงินให้กลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบประกันตน ม. 33 ถือสัญชาติไทย คนละ 2 พัน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) หารือมาตรการเยียวยา หลังจากรัฐบาลมีการออกมาตรการเข้มงวดในหลายจังหวัด โดยเฉพาะ 10 จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ทั้งนี้ ในส่วนของ 6 จังหวัด ได้แก่ กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานที่ก่อสร้างและที่พักคนงานขนาดใหญ่ รวมถึงการขายอาหารที่ให้ซื้อกลับไปทานที่บ้านเท่านั้น โดยรัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดกับประชาชนทั้งในส่วนของลูกจ้าง แรงงานและผู้ประกอบการ
“ครม.จึงมีมติช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดที่ออกมาล่าสุด โดยพื้นที่ที่ได้รับความช่วยเหลือได้แก่ 6 จังหวัด กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือคือกลุ่มแรงงาน และผู้ประกอบการในกิจการที่ได้รับผลกระทบ เช่น กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร กิจการศิลปะความบันเทิง นันทนาการ และกิจกรรมบริการการด้านอื่นๆ เช่น การซ่อมคอมพิวเตอร์ ซ่อมมือถือ ซ่องเครื่องใช้ในครัวเรือน รองเท้า เครื่องดนตรี กีฬา สภา ฟิตเนส การแต่งผม ดูแลความงาม ซักรีด ฯลฯ ตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด โดยจะมีระยะเวลาช่วยเหลือเป็นเวลา 1 เดือน” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอนุชา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบหลักการที่จะอนุมัติเงินเพิ่มเติมให้กับกลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบประกันตนตามมาตรา 33 ที่ถือสัญชาติไทย โดยจะได้รับงินช่วยเหลือเพิ่มเติมในอัตรา 2,000 บาทต่อคน จากเดิมที่ให้ความช่วยเหลือผ่านระบบประกันสังคมปกติอยู่แล้ว สำหรับผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติมสูงสุด ดูตามจำนวนรายของลูกจ้างที่มี จำนวน 3,000 บาทต่อหัวสูงสุดไม่เกิน 200 ราย
ส่วนกรณีผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้างให้ลงทะเบียนผ่านแอพพ์ถุงเงิน ผ่านโครงการคนละครึ่งให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกรกฎาคม 64 เพื่อได้รับความช่วยเหลือเป็นเงิน 3,000 บาท โดยผู้ประกอบการที่อยู่ในหมวดของร้านอาหาร หรือเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ซึ่งไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคมก็จะได้รับการช่วยเหลือ 3,000 บาท เช่นเดียวกัน ในโครงการคนละครึ่งจะมีหมวดที่ชัดเจนให้ระบุไว้ว่าทำกิจการอะไร
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมครม.ยังให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการที่ได้รับการอนุมัติจากครม. แล้วตามแผนเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงกรกฎาคมถึงธันวาคม 2564 ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 3 คนละครึ่งระยะที่ 3 และโครงการยื่งใช้ยิ่งได้ นอกจากนี้ ให้กระทรวงแรงงานประสานขอความร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ภัตตาคารไทย และร้านอาหาร เพื่อขอความร่วมมือผู้ประกอบการใช้บริการจากภัตตาคาร ร้านอาหาร และพ่อค้า แม่ค้า เพื่อดูแลกลุ่มงานที่พักอาศัยในแคมป์ชั่วคราวทั้งภายใน และภายนอกสถานที่ก่อสร้างด้วย
“สำหรับมาตรการช่วยเหลือในระยะต่อไป คือ การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมทั่วประเทศ โดยมอบหมายให้กระทรวงแรงงานเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างเร่งลงทะเบียนในระบบประกันสังคม และมอบหมายให้สภาพัฒน์ประสานกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการคลังในการกำหนดรูปแบบในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้เหมาะสมต่อไปในอนาคต” นายอนุชา กล่าว.-สำนักข่าวไทย