ทำเนียบรัฐบาล 21 มิ.ย.-“พล.อ.ประวิตร” ประชุมกก.สิ่งแวดล้อม พิจารณารายงาน EIA เพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน มาตรฐานคุมการปล่อยทิ้งไอน้ำมันเบนซินจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง การระบายค่าควันดำจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดให้สอดคล้องเทคโนโลยี กฎหมายที่เปลี่ยนไป กำชับปฏิบัติตามมาตรการเคร่งครัด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 ผ่านระบบ VDO conference โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการและเลขานุการ และนางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เลขานุการ และ0มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
ที่ประชุมพิจารณารายงาน EIA จำนวน 8 โครงการ เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานตามแผน PDP 2018 เพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมในพื้นที่ EEC และพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ได้แก่ 1. โครงการโรงไฟฟ้าน้ำพองทดแทน จังหวัดขอนแก่น 2. โครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ (Floating Storage and Regasification Unit: FSRU) พื้นที่อ่าวไทยตอนบน 3. โครงการท่าเทียบเรือ FSRU 4. โครงการก่อสร้างทางแนวใหม่ สายทางเลี่ยงเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี 5. โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลก จังหวัดนราธิวาส

6.โครงการก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการ กองบัญชาการกองทัพไทย 7. โครงการจัดตั้งวัดบ้านห้วยน้ำผัก ที่พักสงฆ์เทิดพระเกียรติสิรินธร จังหวัดเลย และ8. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จังหวัดจันทบุรี โดยพล.อ.ประวิตร กำชับให้เจ้าของโครงการต้องดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดในรายงานอย่างเคร่งครัด และรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ต่อไป
ที่ประชุมฯ พิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล มาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งไอน้ำมันเบนซินจากคลังน้ำมันเชื้อเพลิง และมาตรฐานการระบายค่าควันดำจากรถยนต์ใช้งานที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและกฎหมายที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้ง พิจารณารายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในส่วนกลาง จำนวน 9 คณะ และในจังหวัดที่กระจายภารกิจ จำนวน 12 คณะ.-สำนักข่าวไทย