กำชับทุกระดับในจังหวัดเฝ้าระวังเดินทางข้ามพื้นที่

ทำเนียบรัฐบาล 17 มิ.ย.-ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,129 ราย ขณะพบคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มไม่หยุดหลายจังหวัด กำชับทุกระดับในจังหวัดต้องเข้มงวดป้องกัน เฝ้าระวังเดินทางข้ามจังหวัด รอฟังชุดใหญ่เคาะมาตรการพรุ่งนี้ หากยอดติดเชื้อในแคมป์คนงานยังพุ่ง


พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 3,129 ราย โดยเป็นการติดเชื้อในประเทศ 3,106 ราย แยกเป็นจากระบบเฝ้าระวังและบริการสุขภาพ 1,991 ราย จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชน 658 ราย จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 457 ราย และเดินทางมาจากต่างประเทศอีก 23 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 207,724 ราย

ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่า รักษาหายเพิ่มอีก 4,651 ราย รวมยอดรักษาหาย 172,316 ราย ยังรักษาอยู่ 33,853 ราย เป็นการรักษาใน รพ. 8,590 ราย รพ.สนาม 25,263 ราย ทั้งนี้ มีผู้ป่วยอาการหนัก 1,313 ราย ในจำนวนผู้ป่วยหนักนี้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจถึง 376 ราย การระบาดในระลอกเดือนเมษายน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-17 มิ.ย.64 พบผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 2,331 ราย โดยมีผู้ป่วยยืนยันสะสม 178,861 ราย รักษาหายเพิ่ม 4,651 ราย รวมรักษาหายแล้ว 144,890 ราย ยังรักษาอยู่ 33,853 ราย


“วันนี้เสียชีวิต 30 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 1,461 ราย ส่วนรายละเอียดผู้เสียชีวิต 30 ราย เป็นเพศชาย 18 ราย เพศหญิง 12 ราย อายุ 38-89 ปี อยู่ในพื้นที่ กทม.มากที่สุด 22 ราย เพชรบุรี 3 ราย สมุทรปราการ สมุทรสงคราม อุดรธานี สระแก้ว นราธิวาส จังหวัดละ 1 ราย โดยมีโรคประจำตัว เป็นโรคความดันโลหิต เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หัวใจ โรคไต มะเร็ง ติดเตียง โรคปอด ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น โดยเป็นการติดเชื้อจากคนในครอบครัวและคนอื่น ๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน อาศัยและเดินทางเข้าไปในสถานที่ระบาด เข้าไปในสถานที่แออัดพลุกพล่าน ซึ่งมี 2 ราย เสียชีวิตระหว่างการสอบสวนโรค” พญ.อภิสมัย กล่าว

ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่า สำหรับ 10 อันดับจังหวัดที่พบผู้ป่วยภายในประเทศสูงสุด อันดับ 1 ยังเป็นกรุงเทพมหานคร 1,032 ราย อันดับ 2 สมุทรปราการ 390 ราย อันดับ 3 สมุทรสาคร 171 ราย อันดับ 4 นครปฐม 130 ราย อันดับ 5 นนทบุรี 105 ราย อันดับ 6 ชลบุรี 75 ราย อันดับ 7 ปทุมธานี 71 ราย อันดับ 8 นราธิวาส 67 ราย อันดับ 9 ปัตตานี 58 ราย อันดับ 10 พระนครศรีอยุธยา 43 ราย

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า กทม.พบคลัสเตอร์ใหม่ในเขตบางนา เป็นโรงเรียนพลาธิการของกองทัพเรือ พบเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยรายใหม่ 37 ราย ที่ จ.สมุทรปราการ เป็นคลัสเตอร์ใหม่เช่นกัน เป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์ ที่ อ.เมืองสมุทรปราการ เริ่มพบเมื่อ 16 มิ.ย. มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 154 ราย และที่ อ.พระประแดง เป็นบริษัทผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป พบผู้ติดเชื้อ 30 ราย จ.สมุทรสาคร อ.เมืองสมุทรสาคร เป็นโรงงานอาหารทะเลสด พบเมื่อ 16 มิ.ย. มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11 ราย ซึ่งวันนี้ยังมีรายงานของจังหวัดที่แสดงให้เห็นรายวัน เช่น ที่สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี ชลบุรี ผู้ติดเชื้อยังสูงอย่างต่อเนื่อง


“รายงานจังหวัดที่ติดเชื้อลำดับที่ 12 คือ จ.ยะลา พบกรณีคลัสเตอร์ของโรงเรียนมัรกัส ซึ่งมีนักเรียนที่เดินทางข้ามพื้นที่ มีการติดเชื้อในโรงเรียน และจากโรงเรียนมัรกัส เดินทางไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี ทำให้พบตัวเลขยืนยันผู้ติดเชื้อ จ.สุราษฎร์ธานี 8 ราย กระบี่ 12 ราย พังงา 2 ราย ภูเก็ต 1 ราย ตอนนี้ผู้ติดเชื้อในกลุ่มก้อนนี้ยืนยัน 23 ราย และยังคงรอผลอยู่อีกบางส่วน ซึ่งทางสำนักงานป้องกันควบคุมโรค เขตสุขภาพที่ 11 ได้ส่งตรวจเชื้อสายพันธุ์กลายพันธุ์เรียบร้อยแล้ว และแจ้งจังหวัดที่มีรายงานให้เฝ้าระวังติดตามกระบวนการสอบสวนโรค ทั้งผู้ติดเชื้อและครอบครัวให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูล ไทม์ไลน์เป็นอย่างดี” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า สำหรับข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด ประจำวันที่ 16 มิ.ย. ฉีดแล้ว 222,967 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 166,528 โดส เข็มที่ 2 อีก 56,439 โดส ยอดการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-16 มิ.ย.64 สะสม 7,003,783 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 5,114,755 โดส และเข็มที่ 2 อีก 1,889,028 โดส ทั้งนี้ หากฉีดในอัตราที่เกือบ 3 แสนต่อวัน ทำให้ยอดรวม 1 เดือน ควรจะฉีดได้ประมาณ 10 ล้านโดส สำหรับการจำแนกการได้รับวัคซีนตามกลุ่มเป้าหมาย ครบ 2 เข็มตามเกณฑ์ 1. บุคลากรสาธารณสุข 88.8% 2. เจ้าหน้าที่ด่านหน้า 14.9% 3. อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 12.2% 4. ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค 1.7% 5. ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 0.3% และ 6. ประชาชนทั่วไป 2.5%

“กรมควบคุมโรคเสนอให้จังหวัดกำหนดมาตรการเข้มข้น เช่น กรณีพบผู้ติดเชื้อ แต่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่ต้องกักกันตัวก่อน หลายคนทำไม่ได้ เพราะที่อยู่อาศัยค่อนข้างแออัด จึงขอความร่วมมือให้จังหวัดหาสถานที่ทำการกักตัว เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด รวมทั้งให้จังหวัดเฝ้าระวังการเดินทางข้ามพื้นที่ เหตุที่ต้องเน้นย้ำเรื่องนี้ เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อยังไม่ลดลง ทาง ศบค.ชุดเล็กมีความเป็นห่วงและเห็นใจผู้บริหารหรือผู้ว่าราชการในแต่ละจังหวัด ท่านอาจดูแลทั้งจังหวัดไม่ไหว อยากขอร้อง ศปก.โควิดระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ท่านปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ คงต้องเป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน” ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าว

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า กรณีแคมป์คนงานใน กทม. ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก หารือกันว่า การสอบสวนในแคมป์คนงาน 50 เขตใน กทม. อยู่ที่ 575 แคมป์ มีคนงาน 79,620 คน เป็นคนไทย 33,432 คน เป็นคนต่างชาติ 46,188 คน ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือแต่ละแคมป์ไปแล้ว ซึ่งหากทำไม่ได้ ต้องปรับมาตรการเข้มข้นขึ้น โดยให้กระทรวงมหาดไทย ประสานกำลังตำรวจ ทหาร เข้าควบคุมดูแลแคมป์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (18 มิ.ย.) ศบค.ชุดใหญ่จะประชุม ซึ่งหากยังมีปริมาณผู้ติดเชื้อในแคมป์คนงานเพิ่ม ศบค.อาจมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้น

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ล่าสุดวันนี้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมรวมแล้ว 177,777,052 ราย เสียชีวิต 3,847,778 ราย โดยประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุด อันดับแรก สหรัฐอเมริกา 34,365,985 ราย อันดับ 2 อินเดีย 29,699,555 ราย อันดับ 3 บราซิล 17,629,714 ราย อันดับ 4 ฝรั่งเศส 5,747,647 ราย และอันดับ 5 ตุรกี 5,348,249 ราย โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 78.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธไฮเทคสำหรับยิงโดรน

นครราชสีมา 2 ส.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้ทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เรียบร้อยแล้ว ด้านชาวอุดรธานี แห่บริจาคหนังสติ๊กพร้อมลูกแก้ว ตามที่ทหารขอมาจำนวนมาก หลังทหารกัมพูชายังก่อกวน ยั่วยุ ทั้งขว้างก้อนหินใส่ และมีโดรนปริศนามาบินอีก จากกรณีที่ช่วงนี้ มีการตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่าย เข้ามาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ที่ตั้งทางทหาร ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และสงสัยว่าอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจากประเทศเพื่อบ้าน ที่กำลังมีปัญหาระหว่างประเทศกับประเทศไทย ทำให้เมื่อวานเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้มีการทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.68) เฟซบุ๊กเพจ กองทัพภาคที่2 ได้แชร์ข้อมูลเพจ SMART Soldiers Strong ARMY พร้อมระบุข้อความว่า “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”เลเซอร์พร้อมยิง — ทหารไทยพร้อมรบโดยอาวุธชนิดนี้ คือ Directed Energy Weapon หรือ (DEW) เป็นอาวุธยุคใหม่ที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง […]

โฆษก ทบ. ซัดเขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมร

2 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก ซัด เขมรบิดเบือน กล่าวหาไทยทำร้าย 2 ทหารเขมรจนพิการและมีปัญหาทางจิต ยันมีหลักฐานชัดทำทุกอย่างภายใต้กติกาสากล จากกรณี สื่อกัมพูชาปั่นข่าวหนักโจมตีกล่าวหาไทย อ้างว่าปฏิบัติโหดกับ 2 ทหารกัมพูชาที่ถูกส่งกลับ จนพิการและมีปัญหาทางจิต พร้อมจะยื่นเรื่องถึงยูเอ็นนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 11.08 น. วันที่ 2 ส.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กรณีที่ทหารไทยจับกุม และควบคุมตัว ทหารกัมพูชา ภายหลังจากข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวหาว่าไทยทำร้ายร่างกายอย่างไม่เป็นธรรมทำก่อนส่งกลับนั้น เป็นเพียงคำกล่าวหา บิดเบือนจากฝ่ายกัมพูชา และการหยุดยิงแบบฉับพลัน แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธต่อกัน ยังไม่สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงตามกฎหมายสากล กระบวนการฝ่ายทหารในการควบคุมตัวไว้ก่อน จึงยังสามารถทำได้ตามอนุสัญญาเจนีวา พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพบก มีแผนและพร้อมที่จะเชิญองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ICRC มาดูความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกควบคุมตัว ซึ่งอยู่ในกรอบการดำเนินการตามขั้นตอนของอนุสัญญาเจนีวาอย่างสมบูรณ์ และชัดเจน หากกังวลเรื่องความเป็นอยู่ เพราะรู้เท่าทันว่าฝ่ายกัมพูชาจะนำเรื่องนี้ไปบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายทหารไทย ทางผู้แทน UNHCR และ ICRC จึงสามารถขอเข้ามาดูได้ […]

ชาวบ้านร่วมวางดอกไม้ไว้อาลัยเหตุกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อ

ศรีสะเกษ 2 ส.ค.-เช้านี้บรรยากาศที่ปั๊มน้ำมันบ้านผือ อ.กันทรลักษ์ เต็มไปด้วยความสลด ชาวบ้านร่วมกิจกรรมวางดอกไม้แสดงความไว้อาลัยผู้เสียชีวิต จากเหตุถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ และจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆในอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทยอยเดินทางมาที่ปั๊ม ที่ถูกกัมพูชาโจมตีโดยการยิงจรวด BM-21 ใส่ เมื่อวันที่24 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยจรวจตกใส่บริเวณร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บอีก 15 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีแม่และลูกวัย 8 ขวบ ชาวบ้านร่วมกันเขียนข้อความแสดงความไว้อาลัย ก่อนร่วมกันนำข้อความพร้อมดอกไม้ชูขึ้น เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ว่าการที่ทหารกัมพูชาโจมตีพื้นที่พลเรือนถือเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม จากนั้นได้รวมกันนำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความไว้อาลัยบริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อที่ถูกกัมพูชายิงจรวดใส่ นอกจากชาวบ้านแล้วยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร ที่มาร่วม วางดอกไม้ แสดงความไว้อาลัย ตัวแทนชาวบ้านบอกว่า การร่วมวางดอกไม้ในครั้งนี้เพื่อต้องการให้ผู้เสียชีวิตไปสู่ภพภูมิที่ดี พร้อมขอประณามกัมพูชา ที่เลือกยิงเป้าหมายเป็นประชาชน ทั้งที่ตำบลเมืองถือเป็นพื้นที่สีเขียว แต่ยังมีกระสุนตกใส่ และการที่เป็นพื้นที่สีเขียว จึงไม่ได้มีการอพยพประชาชน หากตกใส่หมู่บ้าน เชื่อว่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้นมากกว่านี้.-สำนักข่าวไทย

กองทัพบก ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน

กทม. 2 ส.ค.-กองทัพบกบูรณาการทุกภาคส่วน ยกระดับมาตรการรับมือภัยคุกคามจากโดรน หลังพบมีความพยายามบินตรวจการณ์ที่ตั้งทางทหาร ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568 เรื่องห้ามมิให้ผู้ใดบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน หรือ “โดรน” ที่ควบคุมการบินจากภายนอก, ทุกวัตถุประสงค์การใช้งาน, และทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจในการใช้ระบบต่อต้านโดรน (Anti-Drone System) รวมถึงสามารถดำเนินการทำลายโดรนจากภาคพื้นดินได้ทันที ในการนี้ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ถึง 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ถึง 4 ดำเนินมาตรการตามแนวทางดังต่อไปนี้ •ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด โดยมีรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้รับผิดชอบในการหารือและประสานการปฏิบัติกับส่วนราชการ หน่วยงาน และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคเป็นผู้ทำหน้าที่ควบคุมและวางแผนภาพรวมในการป้องกันและต่อต้านการใช้โดรนไม่ทราบฝ่าย •ให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัด ตำรวจภูธรจังหวัด หน่วยงานความมั่นคง ภาคเอกชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วยกำลังจากฝ่ายพลเรือน ตลอดจนตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร […]