ทำเนียบรัฐบาล 30 เม.ย.-โฆษกรัฐบาลยืนยันนายกฯให้มั่นใจพรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันแก้ปัญหาโควิดเหนียวแน่น ย้ำไม่ได้รวบอำนาจทั้งหมด
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีนที่นายกรัฐมนตรีหารือร่วมกับภาคเอกชน ว่า รัฐบาลไม่ปิดกั้นเอกชนจัดหาวัคซีน แต่การติดต่อกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนของภาคเอกชน เท่าที่ทราบอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งมอบ เพราะบริษัทผู้ผลิตวัคซีนจะส่งมอบได้ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งอาจจะล่าช้าและทับซ้อนกับวัคซีนของรัฐบาลที่สั่งซื้อไปก่อนหน้านี้ ดังนั้น ภาคเอกชนจึงมอบหมายให้รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยสิ้นปี2564 ตั้งเป้าประเทศไทยจะต้องมีวัคซีน 100 ล้านโดส
ส่วนการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนผ่านแอพพิเคชั่นหมอพร้อม โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลวางแผนฉีดวัคซีน 3 ระยะ ระยะที่ 1 เป็นการฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าประมาณ 3 ล้านคน ตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ฉีดไปแล้วครบ 77 จังหวัด แต่ด้วยปริมาณวัคซีนที่มีน้อย จึงฉีดได้เพียง 1.2 ล้านโดส โดยเป็นผู้รับวัคซีนเข็มแรก 1 ล้านคน และเข็มที่ 2 จำนวน 2 แสนคน ระยะที่ 2 ฉีดให้กับประชาชน 16 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มแรก อายุ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 11. 7ล้านคน และกลุ่มคนที่มีกลุ่มโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค จำนวน 4.3 ล้านคน เริ่มฉีดวันที่ 7 มิถุนายนนี้ โดยคาดว่าฉีดครบสิ้นเดือนกรกฎาคม 2564 และระยะที่ 3 ฉีดให้ประชาชน 31 ล้านคน อายุตั้งแต่ 18-59 ปี โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป และเริ่มฉีด 1 สิงหาคม 2564
“สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเตียงเข้ารับการรักษา รัฐบาลเปิดศูนย์แรกรับผู้ติดเชื้อโควิด-19ที่อาคารนิมิตบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ โดยศูนย์แห่งนี้จะช่วยบริหารจัดการผู้ติดเชื้อในกรุงเทพฯที่ยังคงต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน ยังไม่สามารถหาโรงพยาบาลได้ ซึ่งจะมีการคัดกรองระดับความรุนแรงตามอาการของผู้ติดเชื้อแต่ละราย ก่อนส่งต่อไปยังโรงพยาบาลต่างๆ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายสถานที่ต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศและศูนย์แรกรับจะเปลี่ยนเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน” นายอนุชา กล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการกำหนดอำนาจรัฐมนตรีตามกฎหมาย ใน 31 พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวว่า การมอบอำนาจไม่ได้รวมถึงคณะกรรมการตามกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่หากมีปัญหาอุปสรรคเรื่องที่หน้ากากอนามัย การนำเข้า การจัดหายาและเวชภัณฑ์ การจัดสรรวัคซีน และการรับแจ้งเหตุเกี่ยวกับผู้ป่วยเป็นต้น ต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีและศบค.รับทราบด้วย
“ส่วนการออกข้อกำหนดเพิ่มมาตรการป้องกันโควิด ที่มีการเป็นการขอความร่วมมือในการเดินทางและออกจากเคหะสถานแทนการล็อคดาวน์ แม้จะไม่ใช่คำสั่งที่ต้องให้ประชาชนปฎิบัติตาม แต่หากได้ความร่วมมือจากประชาชนจะทำให้การแพร่ระบาดลงลงได้ ขณะที่การจัดหายาและเวชภัณฑ์ เครื่องมือการแพทย์กระทรวงสาธารณะสุขชี้แจงว่ามีการสั่งนำเข้ามาแล้ว” นายอนุชา กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตุเกิดปัญหาความขัดแย้งภายในรัฐบาลจากการแก้ปัญหาโควิด-19นั้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคมีความร่วมมือในการทำงานด้วนความเข้มแข็ง และขอให้ประชาชนให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงาน และปฎิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข.-สำนักข่าวไทย