รัฐสภา 17 ก.พ.-“วิโรจน์” ซักฟอก “นายกฯ-อนุทิน” ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไม่ได้ ผูกขาดวัคซีนแอสตราเซเนกา โกหกประชาชน ก่อนทิ้งวาทะ ไทยไม่มีหนูลองยา มีแต่ “หนูดองยา”
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในประเด็นการจัดการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ว่า นายกรัฐมนตรีทราบหรือไม่ว่าโควิดไม่ใช่ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ แต่เป็นปัญหาปากท้อง นายกรัฐมนตรีและนายอนุทินไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยหรือ นายกรัฐมนตรีกล้าพูดได้อย่างไรว่าจะให้ประชาชนอยู่บ้าน 14-15 วัน ทั้งที่การระบาดเกิดจากความบกพร่องของตัวเอง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเคยพูดว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศแรก ๆ ที่ได้รับวัคซีน แต่จนถึงขณะนี้ หลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกกันไปแล้ว ขออย่าอ้างว่าไทยมีผู้ติดเชื้อน้อย จึงไม่ต้องเร่งฉีดวัคซีน แล้วประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วจะกล้ามาประเทศไทยที่ยังไม่ฉีดวัคซีนได้อย่างไร เมื่อไหร่จะคืนชีวิตปกติ การทำมาหากินปกติให้กับประชาชน
“กล้ามานั่งหัวโต๊ะศบค.ได้อย่างไร ไปทำหน้าที่ชงกาแฟเถอะ คนอย่างพล.อ.ประยุทธ์ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ดี บริหารวัคซีนโดยมีวิสัยทัศน์ว่า ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่มีก็ตาย ก่อนเดือนธ.ค.2563 พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กระตือรือร้นเรื่องการจัดซื้อวัคซีน เพราะ 17 พ.ย. 2563 เพิ่งมีมติให้สั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้าจากแอสตราเซเนกา จำนวน 26 ล้านโดส ซึ่งเป็นการสั่งซื้อทั้งที่บริษัทยังคิดค้นวัคซีนไม่เสร็จ โดยสั่งซื้อไปแล้ว แต่จะได้วัคซีนในเดือน มิ.ย.2564 และแผนกระจุกวัคซีนทำลายชาติก็เกิดขึ้น เมื่อ ศบค.มีมติให้ซื้อเพิ่มอีก 35 ล้านโดส กลายเป็น 61 ล้านโดส” นายวิโรจน์ กล่าว
จากนั้น นายวิโรจน์ อภิปรายนายอนุทิน โดยระบุว่า ที่ผ่านมานายอนุทินมีพฤติกรรมกลับกลอก เชื่อไม่ได้ จึงอยากให้นายอนุทินชี้แจงให้ชัดเจนว่ามีแผนฉีดวัคซีนอย่างไรบ้าง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมไทยละเลย ไม่แสดงความจำนงขอรับวัคซีนจากโคแวกซ์ และเลื่อนตอบหนังสือจากโคแวกซ์หลายครั้ง แต่เลือกที่จะไปเสียเงินซื้อวัคซีน นายอนุทินอ้างว่าไทยไม่เข้าเกณฑ์จะได้รับวัคซีนจากโคแวกซ์ ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะแคนาดากับจีน ซึ่งร่ำรวยยังเข้าโครงการโคแวกซ์ อย่าอ้างว่าโคแวกซ์แพง เพราะถูกกว่าของซิโนแวคที่ไทยซื้อมา 2 ล้านโดส
“นายอนุทินโกหกประชาชนทำไม ทำไมต้องไปผูกขาดอยู่ที่แอสตราเซเนกา ผมตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่าอาการปากเบี้ยวและแพ้อย่างรุนแรงจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ที่นายอนุทินเอามาหลอกลวง ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่พบกับการฉีควัคซีนป้องกันโควิด-19 และข่าวลือที่เกิดขึ้นเป็นข่าวปลอม เรื่องนี้นายอนุทินก็รู้อยู่แก่ใจ ผมไม่รู้ว่าคุณอนุทินจะดราม่าสร้างวาทกรรม ไม่ยอมให้คนไทยเป็นหนูทดลองเพราะอะไร เพราะทั่วโลกเขาฉีดไฟเซอร์กันเป็นล้าน ๆ โดสแล้ว อียูเพิ่งสั่งซื้อเมื่อพ.ย.ปี 2563 จะมาดราม่าก็ตอบมาเลยว่า ซิโนแวค ซื้อมาได้อย่างไร ผมยืนยันเลย ประเทศไทยไม่มีหนูลองยา มันมีแต่หนูดองยา ไม่ยอมหาวัคซีนให้ประชาชน พฤติกรรมของนายอนุทินคือเอาข่าวปลอมมาสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนไม่อยากฉีดวัคซีน เหตุใดจึงเอาชีวิตคนไทย 60 กว่าล้านคน ไปผูกขาดกับบริษัท สยามไบโอไซม์ ทั้งที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมาจากแอสตราเซเนกา และบริษัทไม่เคยผลิตวัคซีนอะไรมาก่อน ขนาดทำชุดตรวจสอบโควิด ยังไม่ผ่านการรับรองจากอย.” นายวิโรจน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายวิโรจน์อภิปราย ก็มีการประท้วงจากทั้ง ส.ส.พรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐเป็นระยะว่าพูดจาเสียดสีนายอนุทิน พูดซ้ำซากประโยคเดิม ๆ และกล่าวถึงองค์กรภายนอก ขณะที่นายวิโรจน์ ยังอภิปรายเรื่องการจัดซื้อวัคซีนต่อเนื่อง โดยระบุว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีและนายอนุทิน เปิดเผยสัญญาการจัดซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกาว่าราคาสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งตนเคยเดินทางไปขอด้วยตนเองแล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธเปิดเผยสัญญา โดยอ้างว่าหากเปิดเผยสัญญา อาจถูกคู่สัญญายกเลิกสัญญาได้ ซึ่งเป็นการโกหกทั้งสิ้น
“ทั้งที่เป็นเงินภาษีประชาชน ทำไมจึงเปิดเผยไม่ได้ ประเทศอื่นก็เปิดเผยสัญญา แอสตราเซเนกาก็ไม่ได้ยกเลิกสัญญากับประเทศเหล่านั้น ซึ่งเป็นการแสดงความโปร่งใส ดังนั้น ข้ออ้างของนายอนุทิน จึงฟังไม่ขึ้น โกหกประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะให้นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขต่อไปไม่ได้ เพราะพาประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงอยู่ที่บริษัทเดียว ทั้งที่เป็นบริษัทเดียวที่ไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน นำภาษีประชาชนไปใช้โดยที่ไม่บอกรายละเอียด และปล่อยให้ประชาชนเผชิญกับปัญหาล่าช้าในการจัดซื้อวัคซีน ที่สำคัญที่สุด กล้าที่จะเป็นปรสิต เหลือบริ้นไร โหนสถาบันมาเป็นเกราะป้องกันกับบาปมหันต์ที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้” นายวิโรจน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประเด็นดังกล่าว ทำให้เกิดการประท้วงอย่างหนักในห้องประชุมสภาฯ เพื่อขอให้ถอนคำพูดทั้งหมด แต่นายวิโรจน์ไม่ถอนคำพูด จนกระทั่งนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ประท้วงว่าหากนายวิโรจน์ไม่ถอนคำพูด จะเดินไปนั่งข้างๆ ซึ่งนายสิระจะลุกออกจากที่นั่งเดินไป แต่ยังไม่ถึงตัวนายวิโรจน์ก็เดินกลับมา จากนั้นมีส.ส.พรรคภูมิใจไทยลุกขึ้นพูดว่าหากไม่ซื้อกับสยามไบโอไซม์ จะให้ซื้อกับไทยซัมมิตหรืออย่างไร
นายวิโรจน์ อภิปรายต่อว่า ประชาชนคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นเพราะวัคซีน แต่ตอนนี้ยิ่งสิ้นหวัง เพราะคนอย่างนายอนุทินและนายกรัฐมนตรี แค่ให้ตนเดินเฉียดใกล้ หายใจร่วมกับสองคนนี้ ตนก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยากแล้ว จึงไม่อาจไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไปได้.-สำนักข่าวไทย