“สุรเดช” แนะไทยอย่าหงอ กล้าเจรจาภาษีสหรัฐฯ

กทม. 19 ก.ค.-“สุรเดช” แนะไทยอย่าหงอ กล้าเจรจาภาษีสหรัฐฯ หวั่นกลุ่มการเมืองให้ข้อมูล “ทรัมป์” เรื่องความมั่นคง-กม.ม.112 ชี้ยอมไม่ได้ให้จาบจ้วงสถาบันฯ แทรกแซงไทย บีบให้เราจนตรอก เตือนระวังเจรจาสหรัฐฯ บอกจีนมองอยู่

นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีภาษีสหรัฐฯ ว่าส่วนตัวคิดว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการกดดันทุกประเทศให้ทำตามข้อตกลงที่ตัวเองต้องการ ซึ่งนอกจากเรื่องที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯแล้ว ตนคิดว่าน่าจะมีเรื่องอื่นด้วย โดยเฉพาะในส่วนของประเทศไทย ตนทราบมาว่าจะมีการคุยเรื่องของความมั่นคงด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่สมควรเลย และยังมีเรื่องของการแก้กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในเรื่องการแสดงออกของคนไทยเกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ก้าวล่วงพระราชอำนาจ


“ผมคิดว่าเป็นความต้องการของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อยากเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยมากกว่า โดยเอาเรื่องของภาษีมาบังหน้า แทนที่จะคุยกันเรื่องการค้าอย่างเดียว การนำเข้าหรือส่งออก ถ้าขาดดุลก็ต้องมาคุยกันว่าต้องการให้เราทำอะไร ไม่เกี่ยวกับเรื่องของความมั่นคง และผมคิดว่าทางรัฐบาลไทย จะเอาความมั่นคงไปแลกกับเรื่องภาษีไม่ได้เด็ดขาด เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ และพรรคพลังประชารัฐเอง ก็คัดค้านเพราะถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมโดยเฉพาะเรื่องของ มาตรา 112 ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”นายสุรเดช กล่าว

นายสุรเดช กล่าวว่าสิ่งที่ตนแปลกใจมากก็คือ ทางประธานาธิบดีทรัมป์ รู้เรื่องมาตรา 112 ได้อย่างไร หรือมีใครที่เป็นนักการเมือง หรือกลุ่มนักการเมือง ติดต่อไปหรือไม่ ตนไม่อยากให้ทำแบบนี้ ตนไม่ได้กล่าวถึงใคร แต่เราก็มีสิทธิ์คิดว่าอยู่ดี ๆ เขามาคุยเรื่อง มาตรา 112 ทำไม ซึ่งระบบการปกครองของเราแตกต่างกับทางสหรัฐ ฯ โดยสิ้นเชิงเพราะสหรัฐฯ มีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ แต่เป็นระบบแบบประธานาธิบดีที่ผ่านการเลือกตั้งกันมา ซึ่งคนละระบบกัน เพราะฉะนั้นเรื่องมาตรา 112 เป็นที่เข้าใจกันในประเทศไทยอยู่แล้วว่าใครจะไปละเมิดหรือจาบจ้วงไม่ได้ ดังนั้นจึงคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีนักการเมืองหรือพรรคการเมือง อาจมีการประสานหรือติดต่อไปทางสหรัฐฯ ตนสันนิษฐานแบบนี้ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริง และอยากจะส่งสัญญาณไปถึงทูตสหรัฐฯที่อยู่ในประเทศไทย ว่าควรจะส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลสหรัฐฯว่าอย่าทำเรื่องนี้ เพราะคนไทยรับไม่ได้ และต่อไปอาจจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งมันไม่คุ้ม เพราะเรามีสัมพันธ์ที่ดีกันมายาวนานกว่า 200 ปี เราร่วมรบกับอเมริกามาโดยตลอด แค่เรื่องขึ้นภาษี 36% เราก็รู้สึกน้อยใจแล้ว ถ้าไปเปรียบเทียบกับเวียดนามซึ่งเป็นคู่อริกันมาตลอด ไปขึ้นภาษีเวียดนาม 20% แต่กับไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ กลับจะมาขึ้นภาษี 36% ซึ่งตนไม่รู้เขาเอาอะไรคิด


นายสุรเดช ยังกล่าวว่า สิ่งที่ตนเป็นห่วงมาก คือเกษตรกรของไทย ซึ่งเราก็ต้องเจรจาให้เขาลดภาษีในส่วนของเกษตรกรลงได้หรือไม่ แต่ตนคิดว่าทางสหรัฐฯ ก็คงปฏิเสธ เพราะเขาอาจจะอ้างโมเดลของเวียดนาม และอินโดนีเซีย เหมือนเป็นการบีบให้เราไม่มีทางเลือก ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องมาแก้ปัญหาภายในของเรา อย่างเช่นการเยียวยาเกษตรกร จะเยียวยาอย่างไรก็ต้องมาคิดว่าเป็นเกษตรกรจริงหรือไม่ รายย่อยหรือรายใหญ่ ถ้าเป็นรายใหญ่ที่ผูกขาด เราอาจจะไม่จำเป็น และทางกระทรวงพาณิชย์ อาจจะต้องมีนโยบายเชิงรุก โดยอาจสั่งการให้ทูตพาณิชย์ที่อยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการตลาดเพิ่มเติม ที่ไม่เกี่ยวกับสหรัฐฯ ด้วย หรือใช้วิธีดีลกับประเทศสิงคโปร์ ที่คิดภาษีน้อยมาก แค่ 10% ซึ่งสิงคโปร์ก็พึ่งเราเยอะ ก็น่าจะคุยกับเขาได้

เมื่อถามว่า เราต้องระมัดระวังเรื่องการไปเจรจากับทางสหรัฐฯด้วยหรือไม่ เพราะทางจีนก็คงจะเฝ้าจับตาดูเราอยู่ด้วยเหมือนกัน นายสุรเดช กล่าวว่า ถูกต้อง ดังนั้นเราอาจจะต้องใช้เทคนิคเหมือนกันว่าเราจะต้องคุยกับสหรัฐฯ ว่าอย่าบีบเราให้หลังชนฝา หรือจนตรอก เพราะเราอาจไปจับมือกับจีน ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องการจับมือกับใคร เราอยากมีพันธมิตรกับทุกประเทศ เพราะเราเป็นประเทศที่ต้องการหามิตร ไม่ได้ต้องการหาศัตรู อเมริกาก็เหมือนเพื่อนเก่าแก่ ส่วนจีนก็เหมือนญาติพี่น้อง เพราะฉะนั้นอย่าบีบเราจนเกินไป ถ้ายังไม่ยอมลดภาษีให้เรา ก็จะเป็นการบังคับให้เราหันไปเลือกข้างก็ได้

ส่วนความไว้วางใจของเราในฐานะฝ่ายค้านเกี่ยวกับการดีลโดยเฉพาะข่าวที่ทางสหรัฐฯต้องการมาตั้งฐานทัพเรือในประเทศไทย นายสุรเดชกล่าวว่า เรื่องของฐานทัพเรือ ถึงอย่างไรก็ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะถ้าตั้งฐานทัพเรือเมื่อไหร่ เราจะมีปัญหากับจีนแน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องของความมั่นคง และคิดว่าทางอเมริกาก็ไม่น่าจะมาเสนอตรงนี้


ส่วนมองว่าการขับเคลื่อนของรัฐบาลเรื่องนี้ช้าเกินไปหรือไม่ นายสุรเดช กล่าวว่า ช้าเกินไปมาก ความจริงหลังจากเวียดนามมีความชัดเจนเรื่องภาษีแล้ว เราต้องดำเนินการเชิงรุกแล้วว่าถ้าอเมริกาเสนอเรามาแบบเวียดนาม เราจะทำอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้ทางอินโดนีเซีย หรือประเทศอื่น ๆ ชิงพื้นที่ไปก่อน จนถูกทิ้งไปอยู่ข้างหลัง ตนคิดว่าทุกอย่างต้องมีทางออก ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้หนี จึงคิดว่าน่าจะแก้ไขได้

นายสุรเดช กล่าวต่อว่าตนเคยพูดในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐว่าทางสหรัฐฯ กลัวอภิมหาโปรเจกต์คลองไทย หรือคอคอดกระ กลัวว่าเราจะขุดคลอง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้จีนที่เขาอยากให้ขุดคลอง เพื่อทำการค้าเชิงพาณิชย์ เราไม่อนุญาตให้เรือรบผ่านอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ และในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจะมีการลงทุนกันหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ สิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ จะมารวมกันตรงนี้ แต่ถึงอย่างไรสหรัฐฯ ก็ไม่อยากให้ขุด เพราะฉะนั้นเราอาจจะเอาเรื่องนี้ขู่ไปบ้างก็ได้ ว่าอย่ากดดันเราให้เลือกข้าง เรื่องนี้เรากลัวไม่ได้ ถ้าเรากลัวเขา เขายิ่งขย่มเราใหญ่ เราจะไม่ไปเป็นลูกน้องใคร เราเป็นได้แค่พาร์ทเนอร์เท่านั้น ถ้าสหรัฐฯ ต้องการให้เราเป็นพาร์ทเนอร์ เรายินดี แต่ถ้าให้เราไปเป็นคนรับใช้ หรือไปเป็นข้าทาส เราไม่เอา.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 4 แสน

18 ก.ค. – เปิดแชต “สีกากอล์ฟ” หลอกยืมเงิน “อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร” 400,000 บาท อ้างป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัด และแลกหลักฐานกรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร มีความสัมพันธ์กับสีกากอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จ.พิจิตร หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของสีกากอล์ฟ โดยเมื่อปี 2559 อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร ส่งข้อความไปหาสีกากอล์ฟ ว่ามีเรื่องสำคัญของบ้านเมืองจะปรึกษา และหว่านล้อมว่าสีกากอล์ฟเป็นบุคคลสำคัญยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนหนึ่งใน จ.พิจิตร ไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากให้ความร่วมมือจะมีผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลสีกากอล์ฟและลูก แล้วทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ติดต่อกลับ จากนั้นสีกากอล์ฟตอบกลับข้อความ ทำให้อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร เปิดเผยเป้าหมายทันทีว่าต้องการดำเนินการกับพระราชสิทธิเวที ในขณะนั้น (อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร และอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหลวง จ.พิจิตร ที่เพิ่งสึกไป) ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต เสพเมถุน และประพฤติตนไม่เหมาะสม อาจเชื่อมโยงมาถึงสีกากอล์ฟ พร้อมเสนอเงิน 1 ล้านบาท แต่สีกากอล์ฟชวนอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ พิจิตร คุยเรื่องทั่วไป โดยเฉพาะอ้างว่ามีอาการป่วย ต้องใช้เงินผ่าตัดประมาณ 400,000 บาท […]

“ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ

17 ก.ค. – “ทักษิณ” ซัดผู้นำกัมพูชาไร้จริยธรรม แต่คนไทยกลับเชื่อ งงทำไมคนไทยไม่รักกัน ตอกพรรคที่เพิ่งหลุดร่วมรัฐบาลไป เป็นเขมรหรือไทย หลังติง “ลูกอิ๊งค์” ขายชาติ บอกปัจจุบันการเมืองไม่มีเสถียรภาพเหมือนสมัยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก พลิกเกมเศรษฐกิจไทย” และ “พลิกเกมเศรษฐกิจไทย สู่อนาคต” จัดโดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม พร้อมครม. อาทิ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ […]

แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด

อุบลราชธานี 17 ก.ค.-แม่ทัพภาค 2 เยี่ยมให้กำลังใจทหารได้รับบาดเจ็บเหยียบกับระเบิด ซึ่งอาการโดยรวมดีขึ้น ที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ 22 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจกับทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดทั้ง 3 นาย ซึ่งมีอาการโดยรวมดีขึ้น สำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นายประกอบด้วย ส.อ.ปฏิพัทธ์ ศรีลาศักดิ์ มีบาดแผลฟกซ้ำบริเวณหน้าอกจากการถูกแรงอัดระเบิด ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้า แต่ปัจจุบันดีขึ้น พลทหารณัฐวุฒิ ศรีเข้ม มีบาดแผลฟกซ้ำที่หน้าอกจากการอัดของระเบิด แน่นหน้าอก แต่ช่วยเหลือตัวเองได้ พลทหารธนพัฒน์ หุยวัน ต้องตัดขาซ้ายใต้เข่าจากแรงระเบิด มีอาการปวดแผล แต่กินอาหารได้ตามปกติ หลังเยี่ยมพูดคุยให้กำลังใจ แม่ทัพก็เดินทางกลับไป เพื่อไปติดตามสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ต่อไป.-711.-สำนักข่าวไทย

จนท. เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบบัญชีเงินวัดประยูรฯ

กทม. 17 ก.ค. – ตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ บุกวัดประยุรวงศาวาส เข้าตรวจสอบบัญชีเงินวัด เบื้องต้น  ยืนยันไม่ใช่การบุกค้นกุฏิ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก หลังการตรวจสอบ ผู้กำกับการ 6 บก.ปปป. กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลได้ ผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ชี้แจง หลังจากนี้จะนำข้อมูลต่างๆ กลับไปเรียนให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบ แต่ยืนยันว่า วันนี้เป็นเพียงแค่การเข้ามาขอข้อมูลเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่า เป็นเพียงการบูรณาการของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแต่อย่างใด มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย หรือ […]

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยืนยัน ทุ่นระเบิดเป็นของใหม่ เตรียมยื่นเรื่องไปที่ “ยูเอ็น”

19 ก.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันผลตรวจสอบทุ่นระเบิดบริเวณเนิน 481 เป็นของใหม่ พบในเขตประเทศไทย คาดยังมีอีกกว่าร้อยลูกในพื้นที่ วันนี้ ที่กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี เมื่อเวลา 15.30 น. พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 นำแถลงผลการตรวจสอบทุ่นระเบิด บริเวณเนิน 481 จ.อุบลราชธานี โดย พันเอกสมโชค จันทาสี ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 ระบุว่า ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจำนวน 7 นาย โดยจุดแรกที่เจอได้มีการวางจำนวน 3 ทุ่น ลักษณะการวางผิวดิน รัศมีห่างกัน 40 เซนซิเมตร มีใบไม้ปกคลุม ส่วนจุดที่ 2 เจอจำนวน 5 ทุ่น รัศมีการวางกระจัดกระจาย รวมที่พบทั้งหมดจำนวน 8 ลูก ซึ่งจากการกู้ระเบิดทั้ง 8 ลูก ทุ่นระเบิดมีความใหม่ ตัวอักษรชัดเจน เพราะถ้าเป็นของเก่าจะมีวัชพืชปกคลุม […]

“ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน”

วัดบ้านไร่ 19 ก.ค.-“ทักษิณ” ลั่นไม่มีอีกแล้ว ใช้สัมพันธ์ส่วนตัวคุย “ฮุนเซน” หวั่นโดนอัดเทปซ้ำรอย ชี้หากพิสูจน์ได้ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิดใหม่ต้องประท้วงตามกติกา ซัดหากเล่นนอกบทต้องดำเนินการ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ทหารพรานถูกเหยียบทุ่นระเบิด ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่มีกระแสข่าวว่ากว่า 80% จากการตรวจสอบเป็นระเบิดใหม่ว่า ทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยกัน ถ้าไม่คุยกันอยู่อย่างนี้ไม่เป็นผลดี และขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ว่าเป็นระเบิดใหม่หรือเก่า ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า แต่ล่าสุดกระแสข่าวจากภาคสองยืนยันว่ากว่า 80% เป็นระเบิดใหม่ นายทักษิณ กล่าวว่าก็ต้องว่ากันไป ก็ต้องประท้วงตามกติกา และประท้วงเสร็จก็ต้องมาคุยกันทั้งสองฝ่าย ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ฝั่งกัมพูชามักเล่นนอกเกมบ่อยๆ เราต้องรับมืออย่างไร นายทักษิณ ระบุว่าก็ว่ากันไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ถ้าเขาทำอะไรที่นอกกติกา เราก็ต้องดำเนินการ เมื่อถามว่าถ้าพิสูจน์ได้แล้วเป็นเรื่องจริง จะร้ององค์กรโลกหรือไม่ เนื่องจากมีสนธิสัญญาออตตาวา ว่าด้วยเรื่องทุ่นระเบิด นายทักษิณ ระบุว่าที่จริงแล้ว เรามีสนธิสัญญาหลายฉบับ แต่ไม่ได้หยิบขึ้นมาใช้ เมื่อถามย้ำว่าหลังจากนี้จะไม่เจรจาโดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้วใช่หรือไม่ นายทักษิณ ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่าไม่มีอีกแล้ว เพราะกลัวโดนอัดเทปเหมือนกัน.-313.-สำนักข่าวไทย

ศบ.ทก. เรียกถกด่วนพรุ่งนี้ นำหลักฐานฟ้องยูเอ็น

กทม. 19 ก.ค.-ศบ.ทก.เรียกถกด่วน 20 ก.ค. หารือ กต. นำหลักฐานฟ้องยูเอ็น กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา พร้อมส่งทหารช่าง ปูพรมเก็บกู้วัตถุระเบิดช่องบก พื้นที่อธิปไตยไทย 19 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เตรียมนัด ศบ.ทก.ประชุมในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เวลา14.00 น. กำหนดแนวทางการดำเนินการ กรณีกำลังพลจากหน่วยร้อย ร.6021 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรักษาความสงบในพื้นที่ช่องบกและประสบเหตุเหยียบกับระเบิด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ซึ่งจากหลักฐานพลว่าเป็นการวางกับระเบิดใหม่นั้น เบื้องต้น พล.อ.ณัฐพล ได้สั่งการกองทัพภาคที่2 เก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมด พร้อมให้แถลงข่าว และรายงานผลเป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ทราบ เนื่องจากต้องเก็บทุกอย่างเป็นหลักฐาน เพื่อส่งให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป โดยในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ค.) จะมีกระทรวงการต่างประเทศเข้ามาร่วมประชุม ศบ.ทก.ด้วย เพื่อมาให้คำแนะนำว่าขั้นตอนต่อไปในการดำเนินการ ควรจะทำอย่างไร ร่วมถึงตรวจสอบข้อมูลหลักฐานของแต่ละฝ่ายว่าตรงกันหรือไม่ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะแถลงเป็นทางการ ในการประชุม ศบ.ทก. 21 ก.ค.นี้ […]

สำนักพุทธฯ สั่งเข้มทุกวัด เร่งจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย ยึดตามมติ มส.

19 ก.ค.-สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกหนังสือเวียน กำชับไปยังทุกวัดทั่วประเทศ เร่งจัดการบัญชีรายรับ-รายจ่าย ยึดตามมติ มส. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกหนังสือเวียน กำชับไปยังทุกวัดทั่วประเทศ ให้เร่งดำเนินการจัดทำบัญชีเงินฝาก รายรับ-รายจ่าย และงบดุลของวัด ให้ถูกต้องและเป็นระบบ ตามมติมหาเถรสมาคม ที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยการเปิดบัญชีและการเบิกถอนเงินฝากธนาคารของวัด จะต้องเปิดกับธนาคารที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเดียวกับวัด และระบุชื่อบัญชีเงินฝากเป็นชื่อวัดเท่านั้น โดยมีรายชื่อผู้มีอำนาจถอนเงินอย่างน้อย 3 คน ซึ่งในการถอนเงินต้องมีผู้ลงนามจำนวน 2 ใน 3 และมีเจ้าอาวาสลงนามด้วยทุกครั้ง โดยใช้ใบถอนเงินของธนาคารและสมุดบัญชีเท่านั้น ในส่วนของบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้รายงานบัญชีของวัดทุกบัญชี สรุปเป็นรายเดือน จำนวน 12 เดือน ส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ภายในวันที่ 20 มกราคมของปีถัดไป โดยสำเนาเอกสารไว้ที่วัดด้วยทุกฉบับ นอกจากนี้ทุกวัดควรพิจารณาใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ร่วมด้วย เพื่อแสดงข้อมูลบริจาคที่ครบถ้วน และให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ ติดตามอย่างเคร่งครัด โดยสำนักพระพุทธศาสนาฯ จะกำกับดูแล หรือประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบบัญชี และรายงานการตรวจสอบให้มหาเถรสมาคมทราบ.-สำนักข่าวไทย