กกต. 4 มิ.ย.- “สนธิญา” ยื่น กกต.สอบ “พีระพันธุ์” เร่งแก้ข้อบังคับห้ามสมาชิกฝักใฝ่พรรคอื่น ส่อขัดรธน. ย้อนถามการหนุนนโยบาย เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของเพื่อไทย ถือว่าฝักใฝ่หรือไม่ พร้อมจี้สอบปมเจ้าตัว-ภรรยาถือครองหุ้น หลังได้รับนัดให้ปากคำ 18 มิ.ย.นี้
นายสนธิญา สวัสดี ดินทางไปที่ กกต. นำเอกสารจำนวน 558 หน้า เพื่อ กกต. ตรวจสอบ การถือหุ้นและการแก้ไขหุ้น และผู้ถือหุ้น ที่เป็นภรรยาของรองนายกรัฐมนตรี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และบุตร ที่อยู่ ภายใต้กระบวนการกฎหมาย และการดำรงตำแหน่ง ของรัฐมนตรี และ เกี่ยวกับการสมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อ ที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยแห่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ ปี 2543 รวมทั้งให้ตรวจสอบกรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ และหัวหน้าพรรค ที่ออกข้อบังคับพรรค ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 114 ว่าด้วย สส.ตัวแทนปวงชนชาวไทย ที่ไม่อยู่ ในอาณัติ มอบหมาย หรือการครอบงำ ใดๆ อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และผลประโยชน์ที่ขัดกัน เพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณาและวินิจฉัย ซึ่งเรื่องที่ยื่นไว้ก่อนหน้านี้นั้น ในวันนี้(4 มิ.ย.) ตนได้รับหมายเรียกจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ตนมาให้ปากคำในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ และอีกหน่วยงานที่ไปยื่น ได้เรียกเพื่อให้ตนไปสอบเช่นกัน แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจนคาดว่าน่าจะเป็นภายในเดือนนี้ที่จะตรวจสอบความจริงของนายพีระพันธ์ เพื่อให้ความจริงปรากฏ
นายสนธิญา กล่าวว่าการที่พรรครวมไทยสร้างชาติได้มีข้อบังคับ ออกมาในเดือนมี.ค. 2568 ในการประชุมใหญ่ โดยในข้อบังคับนั้น หากดูตามพจนานุกรม โดยบัณฑิตยสถานเรื่องของการฝักใฝ่ในเรื่องของผูกพันหรือเอาใจใส่ นั่นหมายความว่าสมาชิกของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ จะไปฝักใฝ่หรือเอาใจใส่พรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดจะเป็นเหตุอันให้เข้าข่ายข้อบังคับของพรรครวมไทยสร้างชาติที่แก้ไขใหม่ในข้อที่5 (6) คือสิ้นสุดสมาชิกภาพของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ ซึ่งกรณีของนายพีระพันธ์ และรัฐมนตรีต่างๆ ก็เป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่ในรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย สนับสนุนนโยบาย เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์และนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตด้วยหรือไม่ ซึ่งก็แสดงว่าอยู่ในข่ายของข้อบังคับของพรรครวมไทยสร้างชาติดังกล่าวหรือไม่
เพราะข้อบังคับจะต้องบังคับตั้งแต่หัวหน้าพรรคจนถึงสมาชิก ซึ่งตนมองว่า ข้อบังคับนี้เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกฎหรือข้อบังคับ จะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จัใช้บังคับไม่ได้ และมาตรา114 ว่าด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ย่อมมีเอกสิทธิ์
การออกข้อบังคับดังกล่าว จะเป็นการละเมิดเอกสิทธิ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่จึงขอให้ กกต.พิจารณา วินิจฉัยส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยื่นไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว หากยังไม่ติดต่อมา ตนจะส่งเรื่องโดยตรงไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้วและหาก ป.ป.ช. ไม่พิจารณาหรือไม่เรียกตนไปตรวจสอบครบ 60 วันตนก็จะส่งเรื่องนั้นเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในกรณีของนายพีระพันธุ์.-312 -สำนักข่าวไทย