พปชร. 27 พ.ค.- พปชร.ไม่เห็นด้วยงบกระตุ้น ศก. 1.57 แสนล้าน ลุกลี้ลุกลน ไร้แผนแม่บท ส่อเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ด้าน “ธีระชัย” ซัด โปรยเงินอย่างไร้ประโยชน์ เปิดช่องคอร์รัปชัน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ นายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร และรองหัวหน้าพรรค และนายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค สส. และคณะทำงานนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นประธานในที่ประชุม
นายอัคร กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ระหว่างวันที่ 28-31 พ.ค.นี้ โดยเฉพาะการเสนอโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบซึ่งพรรคพลังประชารัฐมองว่า รัฐบาลยังไม่มีแผนในการดำเนินการที่ชัดเจนในการนำไปใช้ประโยชน์ให้กับท้องถิ่นและแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
นายธีระชัย กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรได้เน้นย้ำกับทาง สส.ของพรรคว่า ให้พิจารณางบประมาณในที่ประชุมสภาฯอย่างจริงจัง และให้เกิดผลเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง มีผลในการแก้ปัญหาปากท้องแก้ปัญหา การครองชีพของประชาชนอย่างแท้จริง งบกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ตามความเห็นของตนยังไม่เป็นงบที่แก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ขอเรียกว่าเป็นแผนการ 3 ไม่ ไม่ที่หนึ่งคือ ไม่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เวลานี้เราเหลือกระสุนการคลังอยู่น้อย การจะใช้กรอบวงเงินถึง 1.57 แสนล้านบาทอย่างนี้ ควรจะเน้นทำให้ชุมชนระดับรากหญ้าลืมตาอ้าปากได้ ควรจะทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง แต่ดูกระบวนการในการพิจารณานั้นเห็นชัดว่า ไม่ได้เข้าไปสอบถามความต้องการของชุมชนเลย เพราะเริ่มต้นโดยให้หน่วยงานงบประมาณเป็นผู้พิจารณาโครงการ เสนอไปที่รัฐมนตรีที่กำกับดูแล เสนอไปที่รองนายกรัฐมนตรี และเข้าไปในคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ไม่ได้เปิดให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ไม่ได้เปิดฟังเสียงของประชาชน
นายธีระชัย กล่าวว่า ไม่ที่สอง คือ ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพของชาติ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท กระจายหลายหัวข้อยิ่งกว่าหัวข้องบประมาณโดยรวมของประเทศ เป็นลักษณะการเสนอโครงการที่แตกกระจาย ไม่มียุทธศาสตร์องค์รวม ลักษณะเช่นนี้น่าสงสัยว่า มันมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ และไม่ที่สามคือ ไม่ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น เห็นได้ว่า ครม.อนุมัติแผนเมื่อวันที่ 20 พ.ค. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นมีหนังสือแจ้งท้องถิ่นเมื่อวันที่ 21 พ.ค. โดยกำหนดให้ยื่นโครงการอย่างกระชั้นภายในวันที่ 23 พ.ค. อันเป็นการส่อพิรุธว่า อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อควักเอาโครงการเดิมที่ไม่สำคัญและถูกพักค้างเอาไว้ออกมาใช้เป็นหลัก ขาดการแสวงหาข้อมูลปัญหาล่าสุด จึงขอแนะนำแทนที่จะเน้นโครงการขนาดใหญ่ ควรทำโครงสร้างพื้นฐานระดับชุมชนมากกว่า เช่น เครื่องมือหรือเครื่องจักรการเกษตรขนาดเล็ก และโครงสร้างที่ลดต้นทุนการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้ชุมชนโดยตรง เกณฑ์การคัดเลือกโครงการก็คลุมเครือ ไม่โปร่งใส โดยเกณฑ์ 8 ข้อที่รัฐบาลตั้งไว้ไม่ระบุน้ำหนักคะแนนที่ชัดเจน เสี่ยงต่อการเลือกตามใจนักการเมืองหรือพวกพ้อง จึงเสนอแนะให้ปรับเกณฑ์ให้มีน้ำหนักคะแนนชัดเจนเสียก่อน เช่น เน้นผลประโยชน์ต่อชุมชนและความคุ้มค่า 70% ความโปร่งใส 30% เป็นต้น พร้อมทั้งให้เปิดผลคะแนนต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนรับทราบและสามารถติดตามได้ การใช้กระสุนการคลังในช่วงเวลานี้ ควรจะเน้นเตรียมความพร้อมให้แก่ชาวบ้านและชุมชนรากหญ้ามากที่สุด และจะต้องไม่ทำเพื่อประโยชน์แก่ สส.หรือพรรคการเมืองใด
ด้านนายชัยมงคล กล่าวว่า งบประมาณปี 69 ครั้งนี้ เป็นงบที่ลุกลี้ลุกลน นายกรัฐมนตรีให้เหตุผลว่า เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีเลยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน ซึ่งการจัดสรรงบประมาณครั้งนี้ไม่มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่า จะให้หน่วยงานใดตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งไม่รู้ว่ามีเจตนาหรือผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝงอยู่ หรือนำไปสู่การฮั้วระหว่างผู้มีอำนาจคือรัฐบาลกับนักการเมืองที่ในพื้นที่ เป็นการสมยอมกันในการแสวงหาผลประโยชน์อื่นใด ซึ่งเป็นผลประโยชน์มิชอบ
”พรรคพลังประชารัฐ จึงมองว่า งบ 1.57 แสนล้านบาทนั้น เป็นงบที่ขาดแผนแม่บทขาดการวางแผนที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาประชาชน วันนี้ทุกหย่อมหญ้าเดือดร้อนเศรษฐกิจฝืด ไม่มีกำลังซื้อ ถามว่าโครงการต่างๆได้ตอบสนองตอบปัญหาเหล่านี้หรือไม่ อีกทั้งเป็นงบที่กระจุกนำไปสู่ผลงานไม่กระจาย กระจุกไปยังกระทรวงซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัฐบาล เป็นแนวร่วมที่ดี ผลงานจึงไม่กระจาย ไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก หากแต่คิดถึงผลประโยชน์ของพวกพ้อง ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐจึงไม่เห็นด้วย”นายชัยมงคล กล่าว.-315 -สำนักข่าวไทย