“พันศักดิ์” เผยไทยจ่อพลิกเกม คุยสหรัฐไม่ใช่แค่เจรจาภาษี แต่สร้างอนาคต ศก.ใหม่

กรุงเทพฯ 11 พ.ค.- “พันศักดิ์” เผยไทยจ่อพลิกเกม ท่าทีต่อสหรัฐ ไม่ใช่แค่เจรจาลดกำแพงภาษี แต่สร้างอนาคตเศรษฐกิจใหม่จากความร่วมมือระหว่างกัน ย้ำไม่เลือกข้างใคร แต่เลือกสันติภาพ


นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ให้ความเห็นกรณีการเจรจาในฐานะคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ว่า ความพร้อมของทางการไทย สำหรับการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเรื่องกำแพงภาษี ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเก็บจากหลายประเทศทั่วโลก ยืนยันว่า เรามีความพร้อมกับเรื่องนี้มานานแล้ว เรายืนยันว่าเราพร้อมเจรจา บนพื้นฐานที่เรา “เข้าใจปัญหา” ของสหรัฐอเมริกา เราเป็นคู่ค้ากันมานาน เราต้องคุยกันเพื่อแก้ปัญหานี้

“ท่านทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีพร้อมกันทั้งโลก เราอยู่อันดับที่ 14 หรือ 12 ซึ่งถามผมตอนนี้ผมก็เห็นใจประธานาธิบดีทรัมป์ ผมรู้ว่าแต่ละวันท่านทรัมป์ออกกฎหมายใหม่ ๆ ออกมา รัฐมนตรีแต่ละคนพูดไม่เหมือนกัน ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติ เพราะประเทศไทยก็เป็นเหมือนกัน และถ้าเราต่อรองกับรัฐบาลใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นใจเขา ว่าเขากำลังจัดการตัวเองอยู่ และเราได้ยื่น Notice ให้เขาไปแล้วว่าเราพร้อมคุยด้วย และต้องอย่างมิตร ที่ไม่มีการกล่าวหา และเขาส่งสัญญาณกลับมาว่า เขารู้สึกดี ที่จดหมายของนายกรัฐมนตรีไทยถึงเขา ไม่มีการกล่าวหาซึ่งกันและกัน” นายพันศักดิ์ ระบุ


นายพันศักดิ์ ยืนยันว่า รัฐบาลนี้พร้อมเผชิญปัญหาเหล่านี้ ทั้งนโยบายรายวัน ที่มีการเตรียมตัวมาแล้ว โดยเฉพาะตนเอง ที่ได้เตรียมตัวมานานแล้วตั้งแต่ได้อ่านหนังสือของ เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ เรื่อง “Hillbilly Elegy” หรือ “บันทึกหลังเขา” รวมถึงช่วงก่อนการเลือกตั้ง ที่เราคาดคะเนไว้แล้วว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเราจะเผชิญ 2 อย่าง นั่นคือเรื่องภาษี และปัญหาความสัมพันธ์ทางการค้าภาพใหญ่ ที่เราต้องตอบสนองและนำเสนอ

นายพันศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า ทุกปีอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของประเทศไทย โดยทั่วไปจะค่อย ๆ ขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ซึ่งแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นที่วิ่งขึ้นวิ่งลง เพราะเรามีความสามารถในการผลิตอาหารเพื่อส่งออก ซึ่งไม่ใช่แค่ปริมาณที่มากกว่าการขายผลผลิตทางการเกษตรเพียงอย่างเดียวด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ อาหารไทยที่เรากินกันอยู่ทุกวันนั้น องค์ประกอบอย่างน้อย 30% มาจากสินค้านำเข้า ทั้งจากอินเดีย เมียนมา กัมพูชา จีน เป็นต้น ซึ่งถ้าประเทศไทยจะทำ “อาหารแปรรูป” เพื่อขาย ยังไงก็ต้องนำเข้า และนี่คืออนาคตที่เป็นจริง

“ที่สำคัญ อาหารหมา-แมวของชาวอเมริกัน ไทยขายเป็นที่ 2 ของโลกในสหรัฐฯ ซึ่งเราต้องใช้ของนำเข้า เพราะวัตถุดิบเราไม่เพียงพอ นี่เป็นตัวอย่างที่เราจะบอกว่า ประเทศไทยยินดีที่จะคิดนโยบายร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา พร้อมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ หากสหรัฐฯ ผลิตอาหารคุณภาพส่งมายังประเทศไทย เราพร้อมแปรรูปอาหารนั้นเพื่อส่งออกไปทั่วโลก เราไม่ต้องส่งกลับไปอเมริกาก็ได้ แค่ส่งออกไปทั่วโลก และที่สำคัญ ประเทศไทยมีความสามารถในการแปรรูปอาหารระดับสูง เช่น อาหารแปรรูปแบบออร์แกนิก ซึ่งเราอยากได้วัตถุดิบจากสหรัฐ ด้วย และทางรัฐบาลใหม่ของสหรัฐก็กำลังสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราต้องคุยกันอย่างสร้างสรรค์ทั้งสองฝ่าย” นายพันศักดิ์กล่าว


นายพันศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในกระบวนการการผลิตสินค้าสำหรับทุกอุตสาหกรรมทั้งหมดในโลก สิ่งที่ก็อปปี้ยากที่สุดนั่นคือ “อาหาร” โดยเฉพาะรสชาติและเนื้อสัมผัส คือสิ่งที่ก็อปปี้ยากที่สุด ถ้าเราทำเก่งในเรื่องการทำอาหารแปรรูป นี่คือพื้นที่ของเราที่เราจะอยู่ ในขณะที่ประเทศอื่นก็สู้กันไปในเรื่องของการผลิตสิ่งเดียวกันออกมาขาย เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ประเทศไทยต้องหาข้อมูลให้ได้ว่า แหล่งวัตถุดิบพรีเมียมในเอเชีย และในสหรัฐอเมริกา ที่เราจะเอามาใช้ได้ มันอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วเราก็เอามาใช้ได้เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก และบริโภคเองในประเทศได้อีกด้วย

“เวลาคิดถึงเรื่องไทย-สหรัฐ อย่าคิดแค่ในมิติของการยื่นหมูยื่นแมว เรามันแค่จิ้งหรีดตัวเล็ก ไปยื่นหมูยื่นแมวยังไงก็ไม่เท่าเขา เราต้องคิดว่าเรามีอะไรที่เขาอยากเห็นใจประชาชนเขา แต่เขาก็ไม่สามารถทำนโยบายที่ทำให้ประชาชนที่เขาเห็นใจรู้สึกดีได้ เช่น เรามีนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาไทยปีละ 39 ล้านคน เท่ากับมีลูกค้าที่เราเตรียมของฝากไว้ให้ ซึ่งเป็นของฝากหรือสินค้าจากสหรัฐ 39 ล้านคน หลายคนไม่อยากเดินทางไกลไปถึงนิวยอร์กหรือแอลเอ แต่ก็สามารถซื้อของมือสอง หรือมือหนึ่งคุณภาพสูงได้จากประเทศไทย และที่สำคัญ ตลาด OTOP ของสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงมาก มากกว่าสิบล้านล้านดอลลาร์ เขาไม่ได้ผลิตแค่หนังจากฮอลลีวูดและรถยนต์ฟอร์ด เราเอาแค่ 20 ล้านคนก็ได้ ที่จะซื้อสินค้าจากสหรัฐในเมืองไทยไปเป็นของฝาก” นายพันศักดิ์ กล่าว

นายพันศักดิ์ ยังยกตัวอย่าง กล้องของ Leica ซึ่งเป็นกล้องคุณภาพสูงมาก เราเคยคิดว่าถ้าจะซื้อมือสองคุณภาพดี ต้องซื้อที่นิวยอร์ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าอยากได้มือสองคุณภาพสูง คุณต้องซื้อที่โตเกียว เพราะคนญี่ปุ่นเขาเลือกมาให้คุณแล้ว คุณภาพและราคาไม่โกหก ดังนั้น หากสรุปว่ากรุงเทพคืออะไร คุณยอมไหม ที่กรุงเทพจะเป็นพื้นที่ของการขายของดีมีคุณภาพและราคาไม่โกหก แม้เป็นของมือสอง เราสามารถทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางของฝากของโลกได้หรือไม่

นายพันศักดิ์ กล่าวว่า แม้กระทั่งการให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางอีกแห่งของการกินอาหารชั้นดีแบบพิเศษของโลกได้หรือไม่ ทำไมโตเกียวเขาทำได้ แล้วกรุงเทพฯ เป็นไม่ได้เหรอ ถามว่าถ้าเรานำเข้าเนื้อคุณภาพจากสหรัฐมา คนไทยจะกินกันซักกี่คน น้อยมาก แต่เรานำมาทำให้นักท่องเที่ยวรับประทานในรูปแบบของเรา ดังนั้น เวลาคิดเรื่องพวกนี้ ต้องคิดให้ไกลกว่าปลายจมูกของเรา

ส่วนเรื่องการสวมสิทธิทางการค้านั้น นายพันศักดิ์ เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนมีความอึดอัดที่มีการทำเรื่องในลักษณะนี้เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งรัฐบาลจีนเคยขอร้องรัฐบาลไทยให้ใช้กฎหมายเต็มที่สำหรับการสวมสิทธิทางการค้า และการสวมสิทธิไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสวมสิทธิโดยสหรัฐในไทยเพื่อไปขายของในจีน หรือไม่ว่าการสวมสิทธิโดยจีนในไทยและไปขายของในสหรัฐ หรือฝรั่งเศสสวมสิทธิในไทยและไปขายของในศรีลังกา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เราไม่เลือกข้างในเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครสมควรสวมสิทธิของใคร แต่ถ้าไม่ว่าบริษัทจากประเทศใด มาทำธุรกิจหรือผลิตสินค้าในไทย โดยผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายไทยทุกประการ ซึ่งถ้าต่อมา คุณถูกกล่าวหาโดยใครก็แล้วแต่ว่าท่านมาสวมสิทธิ ประเทศไทยจะต่อสู้ให้คุณด้วย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใด และจากประเทศใดก็ตาม ย้ำว่าเรื่องการสวมสิทธิ เราไม่เลือกข้าง เลือกไปแล้วได้อะไร ย้ำว่าทุกบริษัทที่เข้ามาผลิตในประเทศไทย ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย

ส่วนนโยบายการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ที่ไม่จำเป็นอีกว่า การเก็บภาษีนำเข้าแอปเปิลจากสหรัฐถึง 50% แต่ในขณะเดียวกันสินค้าบางตัวเขาเก็บเราแค่ 1-2% ตรงนี้มันเวอร์เกินไป เราก็ต้องลดลงมา ไม่กระทบใครทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งสินค้าอื่น ๆ ก็ตามที่เห็นว่าการเก็บภาษีนำเข้าที่ไม่จำเป็น

“ผมกล้าพูดว่า เราเห็นใจคนอเมริกันมาก ที่ชีวิตตกระกำลำบาก เพราะปรัชญาเศรษฐกิจของอเมริกันแข็งตัวเกินไป ที่จะตอบสนองความเป็นจริงของชีวิตของชาวอเมริกันเอง และน่าตกใจที่สุดว่าคนผิวขาวตกงานมาถึงขนาดนี้ มีชีวิตทุรนทุราย ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยโดยเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่มหาอำนาจในโลกมีปัญหาภายใน จนกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นั่นเป็นอันตรายมากกับโลก เพราะฉะนั้น ผมจะคิดอะไรก็ตามที่ทำให้คนอเมริกันเหล่านี้ได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของเราและสหรัฐมากที่สุด เพราะเราต้องการเห็นสหรัฐเป็นมหาอำนาจที่มีสติ และมีอนาคต เพราะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพราะประเทศไทยสามารถมีลูกค้าให้สหรัฐ ซึ่งเป็นคนที่มาเที่ยวเมืองไทยปีหนึ่งกว่า 30 ล้านคน และนี่คือ potential customer (ลูกค้าที่มีศักยภาพ) ของผลิตภัณฑ์จากสหรัฐในเมืองไทย” นายพันศักดิ์กล่าว

เมื่อถามว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐกับไทย จะลดลงหรือไม่ นายพันศักดิ์ ระบุว่า ลดอยู่แล้ว เพราะเขาขายของให้เราได้มากขึ้น ซึ่งเราหาทุกวิถีทางที่ทำให้เขาขายของให้เราได้มากขึ้น โดยของที่เราได้มานั้น เป็นของที่ราคาดี มีประสิทธิภาพต่อการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของคนไทย

ส่วนที่หลายคนมองว่า รัฐบาลนี้ทำงานไม่เป็น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติภาษีทรัมป์ นายพันศักดิ์ กล่าวว่า ตนมองต่าง โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยมีนโยบายว่า เราจะเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพในโลกนี้ ด้วยการแข่งขัน และความมั่งมีร่วมกัน เราจะไม่เข้าข้างใคร แม้เราเข้าข้างจีน จีนก็ยังตรวจทุเรียนเราเหมือนเดิม งั้นเรามาลองหันมาดูประเทศอินเดียสิ น่าขายของให้ไหม และรู้หรือไม่ว่า SMEs ที่เราส่งเสริมตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ขายเครื่องหอม และเครื่องทำความหอมในห้องน้ำให้กับอินเดียเป็นรายได้มหาศาลอย่างน่าตกใจ เรายืนว่า รัฐบาลนี้จะสนทนาทั้งสหรัฐและจีน อย่างเลยอารมณ์ชั่ววูบ ยกตัวอย่างที่เราเคยทำสำเร็จในการเป็นพื้นที่หลักในเจรจาเพื่อสันติภาพในหลายครั้งของภูมิภาคนี้ เพื่อยุติความขัดแย้ง จนกระทั่ง “เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า” ได้สำเร็จมาแล้ว

“การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โครงสร้างที่ว่าไม่ใช่อิฐ หิน ปูน ทราย ต้นไม้ หรือถนน แต่โครงสร้างที่ว่า คือ สิ่งที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อสินทรัพย์ที่มีอยู่” นายพันศักดิ์ กล่าว .-316 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]