รัฐสภา 5 ก.พ.-“สว.ฉัตรวรรษ” นำคณะแถลง “วุฒิสภา” เห็นชอบ กม.อำนาจเรียกของ กมธ. ตามฝั่ง สส. ชี้จะเป็นความผิดทางวินัย หากหน่วยงานไม่มาแถลงข้อเท็จจริง-ให้ข้อมูลเท็จ
พลตำรวจตรี ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. … แถลงภายหลังจากร่าง พ.ร.บ. ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบด้วยกับร่างที่ผ่านการพิจารณาของสภาฯ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคำสั่งเรียกของ กมธ. ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อสนับสนุนการทำงานของรัฐสภาตามหน้าที่และอำนาจของ กมธ.มีกลไกและผลบังคับทางกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 129 ซึ่งเปลี่ยนแปลงหลักการจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
พลตำรวจตรี ฉัตรวรรษ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ได้แก่ 1. อำนาจเรียกเอกสารหรือบุคคล (มาตรา 6 และมาตรา 7) ให้ กมธ.มีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคล หรือเรียกบุคคลมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็น ถ้าบุคคลที่ กมธ.เรียกเป็นรัฐมนตรี ให้ประธาน กมธ.มีหนังสือแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ถ้าบุคคลที่ กมธ.เรียกเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ประธาน กมธ.แจ้งให้นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ซึ่งบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลทราบด้วย สำหรับเอกสิทธิ์ของผู้ให้ถ้อยคำ (มาตรา 11) ซึ่งเป็นมาตราที่มีความมุ่งหมายคุ้มครองแก่ผู้ที่ให้ถ้อยคำ หรือส่งมอบวัตถุ เอกสาร หรือพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อ กมธ.โดยไม่ต้องรับผิด ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการที่ได้เปิดเผยข้อมูล หรือให้วัตถุ หรือพยานหลักฐาน ต่อ กมธ.
พลตำรวจตรี ฉัตรวรรษ กล่าวอีกว่า ส่วนมาตรการบังคับในการให้ข้อเท็จจริงของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา 14) หากเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ส่งเอกสารหรือไม่มาแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็น โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือให้ข้อมูลเท็จหรือแจ้งความอันเป็นเท็จ จะถือว่าไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการและเป็นความผิดทางวินัย.-312.-สำนักข่าวไทย