ทำเนียบ 30 ม.ค.- “ภูมิธรรม” แจงตัดไฟฟ้าพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้ว ระบุหากลักลอบส่งไฟต้องตรวจสอบ ส่วนกรณี “ทรัมป์” ตัดงบฯ ช่วยเหลือผู้ลี้ภัย รอยูเอ็นเคลียร์ คาดใช้เวลา 3 เดือน ระหว่างนี้ไทยดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงจากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า การตัดไฟฟ้าไม่ให้ความช่วยเหลือพื้นที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฝั่งจังหวัดเมียวดี ให้ไปถามหน่วยงานความมั่นคงโดยตรง ว่า ขณะนี้ไทยจ่ายไฟให้กับเมียนมา 2 จุด บริเวณสะพานมิตรภาพไทย- ลาวเข้าสู่เมวดี และชายแดนแม่ฮ่องสอน แต่จุดที่มีปัญหา คือ อำเภอแม่ระมาด กับอำเภอแม่สอด ได้ตัดไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนปี 66 รวมถึงเรื่องระบบอินเทอร์เน็ต และยังได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ผู้ใดให้ไฟฟ้าเขาใช้ก็ถือว่าสมรู้ร่วมคิด ฝ่ายความมั่นคงก็จะดำเนินการ หากพื้นที่มีปัญหาจะใช้เครื่องปั่นไฟก็เป็นเรื่องภายใน แต่ยืนยันว่า เราจัดการสั่งตัดไฟฟ้าไปแล้ว หากมีการลักลอบใช้ก็ต้องตรวจสอบกันต่อไป
ขณะที่การประชุมวันนี้ เป็นการประชุมร่วมกันของทุกหน่วยงาน ทั้งกองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กอ.รมน. และฝ่ายข่าวที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครั้งนี้จะเพิ่มมาตรการซีลชายแดน นอกจากชายแดนปกติ เนื่องจากเส้นทางธรรมชาติมีระยะทางยาวหลายกิโลเมตร การใช้ 51 อำเภอ 76 สถานีตำรวจ เป็นการซิลอีกชั้นหนึ่ง พยายามจัดการกับจุดพักยาต่างๆ ทางเข้าและออก ซึ่งจะมีการประเมินในรอบ 6 เดือน หากทำได้ดี จะส่งผลต่ออาชญากรรมอื่นๆ ด้วย
ส่วนกรณีที่มีรายงานข่าวว่าไทย จะถูกปรับลดอยู่ในระดับเทียร์ 2 เรื่องสิทธิมนุษยชน นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการทำหน้าที่ แต่หากไม่ทำเลยและนิ่งเฉยก็จะเกิดคำถามขึ้น แต่สิ่งที่ทำ คือ ไม่ใช่แค่เรื่องยาเสพติด ก็ต้องดูเรื่องสิ่งต่างๆตามแนวชายแดนด้วย ทั้ง คอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ทุกอย่างจะรวมศูนย์อยู่ในเรื่องนี้ด้วย ยืนยัน ได้มีการพูดคุยระดับผู้นำเหล่าทัพแล้ว และอยากให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงทำหน้าที่แล้ว ก็จะมีการบูรณาการทำงานร่วมกัน อยากให้ประชาชนมั่นใจและสบายใจ ว่าจะให้เหตุผลเป็นรูปธรรมที่สุด เมื่อประเมินผลแล้วก็จะสรุปแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไป โดยครั้งต่อไปจะรวมพื้นที่ภาคใต้ ที่มีปัญหา 3 จังหวัดชายแดน
ขณะที่กรณีศูนย์ผู้ลี้ภัยที่สหรัฐอเมริกา ประกาศตัดงบฯ ดูแลสาธารณสุข ซึ่งจะกระทบต่อโรงพยาบาลชายแดนในไทยนายภูมิธรรม ยอมรับว่า รัฐบาล ได้รับผลกระทบเรื่องนี้ เพราะเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับการช่วยเหลือ แต่การดำเนินการมีหน่วย IRC และสหประชาชาติ เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นไทย ก็จะพยายามช่วยเหลือตามศักยภาพ ทั้งนี้ทางสหประชาชาติ จะใช้เวลา 3 เดือนในการพูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งสหประชาชาติก็ไปดำเนินการ ไม่ใช่เรื่องของไทย ไทยก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ส่วนข้อเสนอให้รับรองผู้ลี้ภัยให้ทำงานถูกกฎหมายในประเทศไทย นายภูมิธรรม ชี้แจ้งว่า ได้รับฟังเรื่องนี้จากพรรคประชาชน แต่อยากให้มองความเป็นจริง ว่าจะให้รับรองทั้งหมดต้องถามคนไทยด้วยจะรับได้หรือไม่ บางครั้งคิดดีแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะจะมีปัญหาตามมาอีกมาก ยืนยันว่า รัฐบาลรับผิดชอบอยู่แล้ว รวมทั้งมีภาคประชาชนเข้ามาช่วยเหลือ ขณะเดียวกันเรียกร้องฝ่ายค้าน อยากให้มีแนวคิดบวก และศึกษาข้อเท็จจริงบ้างก่อนที่จะวิพากย์วิจารณ์จนรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ ต้องหาข้อมูลให้ครบถ้วน
ส่วนกรณีชาวอุยกูที่อยู่ในประเทศไทย ที่ทางการจีนต้องการให้ส่งตัวกลับ ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชน และสหรัฐ คัดค้านเรื่องนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นความต้องการของแต่ละฝ่าย ที่สำคัญต้องยึดถือฝ่ายไทย โดยไทยคำนึงถึงสิทธิเอกราชอธิปไตยของไทยเป็นหลัก และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ดังนั้นเรายึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งใครจะดำเนินการจัดการทุกอย่าง หากเป็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้นเมื่อเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องมาจับกุมขังนานถึง 10 ปีเช่นนี้ เป็นปัญหาที่ไทยจะต้องแก้ไข ซึ่งตามหลักสากลจะต้องส่งไปยังประเทศที่ 3 โดยมีการส่งไปแล้วกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรี ที่เหลือยังไม่มีความชัดเจน หากจะดำเนินการด้านใดก็เกิดปัญหาทั้งสิ้น จะต้องดูว่าจะทำอย่างไร แต่ต้องเคารพในอธิปไตยของไทย พร้อมย้ำ ไทยจะดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเข้มงวด คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และข้อตกลงที่ว่าจะไม่ส่งใครไปในพื้นที่อันตราย ไม่ต้องกังวล ส่วนการดำเนินการต่อไปอาจจะไม่ได้คุยกันผ่านสื่อ ยืนยันไม่มีใครกดดันไทยได้
ส่วนกรณีที่หลายประเทศออกมาเตือนให้พลเมืองตนเองระวังการเดินทางมาประเทศไทย อาจถูกหลอกลวงไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฝ่ายความมั่นคงจะต้องจับตาด้านใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่น่ากังวล เพราะไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะต้องขึ้นหมายแดง แต่ไทยก็จะทำหน้าที่ดูแลให้ดีที่สุด.-316 .-สำนักข่าวไทย