สหพันธรัฐสวิส 24 ม.ค.- นายกฯ ชี้ เวทีประชุม WEF 2025 ประสบผลสำเร็จ ได้คอนเนคชัน ชู ศักยภาพไทย ย้ำ การเมืองไทยมีเสถียรภาพสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน คืบหน้าคุย “DP World” ต่อยอดแลนด์บริดจ์ สมัย “เศรษฐา” ตั้งเป้าภายในปี 68 ทำ FTA ครบกลุ่มประเทศอียู ให้คะแนน รมต.ร่วมคณะ เต็ม 10
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุม ประจำปีของสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum :WEF) 2025 ที่เมืองดาวอส สหพันธรัฐสวิส ว่า มีโอกาสได้พบกับผู้นำระดับสูงหลายประเทศ ผู้บริหาร ภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย11 บริษัทเอกชนชั้นนำระดับโลกได้แก่ DP World , Nestle , Coca Cola , Bayer AG , Astra Zeneca , Salesforce , Google , Pepsi, AWS , Grap ,Amazon Web Services
โดยสิ่งที่ได้เห็นความคืบหน้าคือ การได้คุยกับ DP World เรื่องโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาและต่อยอดจากที่นายเศรษฐา ทวีสินอดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาร่วมประชุมเมื่อปีที่แล้ว
อีกทั้งยังได้พูดคุยกับผู้นำหลายประเทศที่ยังไม่เคยได้พบ เจอกันมาก่อน เช่น ผู้นำภูฏาน มอนเตเนโก สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ อาร์เมเนีย บังกลาเทศ และได้เจอนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย ได้อัพเดตสถานการณ์ประเทศซึ่งกันและกัน พร้อมได้เข้าเยี่ยมคารวะผู้นำประเทศและหัวหน้ารัฐบาลถึง 4 ท่าน ได้แก่ ประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส นายกรัฐมนตรีประเทศอาร์เมเนีย นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐคอซอวอ และศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศศาสตราจารย์ เคล้าส์ ชวาป ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum (WEF) ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นที่รู้จักกับนานาอารยะประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทั้งระดับภูมิภาคและประเทศมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี ยังระบุได้ว่า การประชุมครั้งนี้พารัฐมนตรีมาหลายคน ทั้ง รมว.คลัง รมว.พาณิชย์ รมว.ต่างประเทศ รมว.เกษตรและสหกรณ์ โดยทุกคนกระจายกันทำงาน ได้เจอวันละมื้อหรือสองมื้อ ทุกคนทำงานหนักมาก ช่วยกันเต็มที่ เพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้คนทั่วโลก ต้องให้คะแนน10เต็ม10กับทุกคน รวมถึงเลขาธิการ BOI ที่เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นเพื่อดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศทั่วโลก แล้วนับเป็นการใช้โอกาสของเวที WEF ที่เป็นการพบกันระหว่าง ภาครัฐและภาคเอกชน ชั้นนำทั่วโลก
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า การมาครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ ได้มีคอนเนคชัน เพิ่มเติม จากทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ ในหลายประเทศ โดยได้ตอกย้ำถึงศักยภาพของคนไทย และอนาคตของธุรกิจที่จะเข้ามาทั้ง AI และเทคโนโลยีต่างๆ ด้วยได้พูดคุยกับ Google ที่จะมาลงทุน ในไทย ว่าให้จัดเทรนนิ่ง ของเขา เพื่อสอนคนของเราให้รู้จัก Data Center มากขึ้น พร้อมขอให้ Google ทำงานด้วยกันกับมหาวิทยาลัย เรียนและเพิ่มโอกาสให้กับนักเรียนนักศึกษา ให้มีความรู้เกี่ยวกับ Future Industry
นอกจากนี้รัฐบาลยังจะสนับสนุนเรื่องทุนการศึกษาที่จะให้ไปศึกษาต่างประเทศโดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีและ AI เนื่องจาก อุปกรณ์ ในไทยอาจจะยังไม่ล้ำสมัยเท่ากับประเทศอื่น จึงต้องการสนับสนุนในเรื่องนี้เพื่อเป็นการเตรียมคนเตรียมศักยภาพให้พร้อมใน อนาคต 10 ปีข้างหน้าทุกคนจะได้มีโอกาสในการทำงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้ มากขึ้นและมีความรู้ติดตัวเป็นการสร้างความมั่นใจ ให้กับทุกคน
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ไทยมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยได้สร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทย จะมีการเมืองที่มีเสถียรภาพและผลักดันนโยบายดีๆเหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ต่างชาติมั่นใจว่าเขาไม่ได้จะมาลงทุนเพียงแค่ปีหรือ 2 ปี แล้วก็จบกันไป แต่อยากให้เขามาลงทุนและอยู่นานๆ เพื่อที่จะได้มี Cash Flow ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักลงทุนหลายประเทศได้มากพอสมควร
นายกรัฐมนตรี กล่าวกล่าวถึง ความสำเร็จในการลงนาม FTA กับ EFTA เป็นการลงนามกับประเทศในยุโรป และได้วางแพลนว่าไทยจะลงนาม FTA กับ ประเทศแถบ EU ทั้งหมดภายในปีนี้ (2568) ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูบ้านใหญ่ให้กับประเทศไทย ได้พูดคุยเรื่องของเศรษฐกิจกับการค้า ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นประโยชน์กับประเทศไทยอีกนานแสนนาน
ครั้งนี้ได้ทำ Business Matching ให้ภาคธุรกิจของไทยและต่างประเทศได้พบเจอกันเพื่อต่อยอดธุรกิจต่างๆ ถือว่าการมาครั้งนี้ค่อนข้างครบถ้วนบางอย่างได้เกินกว่าที่คาดหวังไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีรัฐมนตรีหลายคนที่มาร่วมการประชุมครั้งนี้ และ BOI ทำให้ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้สำเร็จอย่างดี พร้อมขอให้ทุกคนเป็นกำลังให้กับรัฐบาลจะได้นำโอกาสและสิ่งดีๆมาให้ประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจบภารกิจ น.ส.แพทองธาร และคณะ ออกเดินทางจากเมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส และกลับถึงประเทศไทย ในวันที่25 ม.ค.เวลา10.40 น. ที่ห้องรับรองพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ .316.-สำนักข่าวไทย