กต. เผย สถานการณ์ชายแดนเมียนมาดีขึ้น

กระทรวงการต่างประเทศ  24 เม.ย.-กต. เผย สถานการณ์ชายแดนเมียนมาดีขึ้น ไม่มียิงกันในรอบ 48 ชม. ผู้หนีภัยทยอยกลับแล้ว ย้ำยังต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ยันไทยพร้อมเป็นตัวกลางเจรจา


นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา ว่า คณะกรรมการได้ติดตามสถานการณ์ความมั่นคง สังคม และเศรษฐกิจ ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ว่ามีความไม่แน่นอนสูง  มีความผันผวน ขยายพื้นที่การสู้รบระหว่างฝ่ายต่อต้านและกองทัพเมียนมา ชายแดนไทยและเมืองเมียวดีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายต่อต้าน และกองทัพเมียนมาต้องการยึด

“โดยแนวโน้ม 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทุกอย่างดีขึ้น คนในพื้นที่ไม่ได้ยินเสียงปะทะ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยข่าวได้ประเมินสถานการณ์ไว้หลายสถานการณ์ รวมถึงสถานการณ์ที่จะมีผู้หนีภัยความไม่สงบเข้ามาฝั่งไทยมากขึ้น   และย้ำท่าทีไทยว่า 1.ไทยยึดมั่นรักษาอธิปไตยของคนไทย รวมถึงการดูแลความปลอดภัยความมั่นคงของพี่น้องชาวไทย 2.ไทยไม่ให้ใช้ดินแดนในการดำเนินกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลต่างประเทศไม่ว่าจะจากฝ่ายใด 3.ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมแก่ทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติ”นายนิกรเดช  กล่าว


นายนิกรเดช กล่าวว่า คณะกรรมการได้มอบหมายงานให้กระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบการสื่อสารต่อสาธารณชนไทย และต่างประเทศ ส่วนศูนย์สั่งการชายแดนจังหวัดตาก จะเป็นหน่วยงานหลักในการให้ข่าวในพื้นที่   พร้อมให้ที่ประชุมประเมินสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ โดยให้ สมช. เป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงและการข่าว  ส่วนกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลัก ในการประสานด้านการทูต  โดยตอนนี้ไทยได้ประสานให้มีการประชุมอาเซียนทรอยก้า และกรอบอาเซียนทรอยก้าพลัส ผ่านประธานอาเซียน ประเทศลาว 

นายนิกรเดช ย้ำว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่การกระทบกระทั่งระหว่างไทย-เมียนมา และไทยไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในของเมียนมา ไทยมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนว่าเราจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่กลุ่มต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่ประเทศไทย  ทั้งกลุ่มพลเรือน ทหารที่ขอหนีภัย ซึ่งเรามีหลักสากลในการให้ความช่วยเหลือ ทั้งการปลดอาวุธ  และการเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นเครื่องแบบพลเรือน ส่งกับประเทศเมื่อสถานการณ์สงบผ่านหลักการไม่ส่งผู้หนีภัยกลับไปสู่อันตราย  ทั้งนี้การดำเนินการจะตั้งอยู่บนพื้นฐานสมดุล ความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชน

นายนิกรเดช   กล่าวว่า ไทยมีความพร้อมในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม   รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข การให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัย โดยที่ผ่านมาประชาชนเมียนมาที่เข้ามาในไทยได้กลับไปเป็นจำนวนค่อนข้างสูง  สะท้อนว่าสถานการณ์ไม่ได้รุนแรงมากขึ้นสถานการณ์น่าจะสงบลงในระดับที่ผู้หนีภัยในฝั่งไทยคลายความกังวลและขอกลับไป


ส่วนผลกระทบต่อไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง มีผลกระทบทางการค้าชายแดน ซึ่งเป็นผลกระทบชั่วคราว คณะกรรมการจึงพิจารณาแนวปฏิบัติการบริหารจัดการผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา ซึ่งจะมีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอ โดยเตรียมการ 4 ส่วน ประกอบด้วย 1.ภาวะปกติ 2.การดำเนินการกรณีที่ผู้หนีภัยเข้ามายังประเทศไทยแล้ว 3.การขอรับการสนับสนุนในภาพรวมจากองค์การระหว่างประเทศ 4.การประชาสัมพันธ์ให้สาธารชนทราบ

นอกจากนี้คณะกรรมการยังมีแนวทางจัดตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณารายละเอียด จะประกอบด้วยผู้ประสานงานหลัก   และหน่วยงานต่างๆ   โดย สมช.จะเป็นผู้ดำเนินการในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดนี้

นายนิกรเดช   ยังกล่าวถึง การลงพื้นที่ตามแนวชายแดนตลาดริมเมย สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อ.แม่สอด จ.ตาก ของปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ตามที่ได้รับรายงานมานั้น   ตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. ไม่มีการสู้รบในบริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 โดยผู้หนีภัยความไม่สงบที่มาอยู่ในฝั่งไทยสูงสุดคือ 3,000 กว่าคน   แต่จนถึงตอนนี้ได้เดินทางกลับไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยจำนวนที่ยังอยู่ในไทยตอนนี้ประมาณ 650 คน และคาดว่า มีแนวโน้มที่ผู้หนีภัยจะเดินทางกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นายนิกรเดช   กล่าวต่อว่า กองกำลังนเรศวร โดยหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ก็มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา หากมีความจำเป็นก็พร้อมจะเพิ่มกำลัง ทั้งนี้การดำเนินการดูแลผู้หนีภัยความไม่สงบนั้น ขอย้ำว่า เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม โดยเมื่อมีคนเดินทางเข้ามาก็จะมีพื้นที่แรกรับ เพื่อแยกแยะว่าคนกลุ่มใดเพื่อเก็บข้อมูล และนำคนเหล่านั้นไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว    ก่อนที่จะไปยังพื้นที่พักรอ ซึ่งตอนนี้ทางการไทยมีพื้นที่พักรอเกิน 50 จุด และทางกาชาดได้ตั้งศูนย์รับบริจาคสิ่งของจากเอกชน   และองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึงองค์กรอื่นๆ ตลอดจนคนไทยในพื้นที่ด้วย

สำหรับการค้าชายแดน  นายนิกรเดช  ระบุว่า ได้รับผลกระทบพอประมาณ   ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม พบว่า ปริมาณการค้าในชายแดนลดลงประมาณไม่เกิน 20%  แต่สิ่งที่สำคัญมากที่นายปานปรีย์  ได้ลงพื้นที่คือ เรื่องขวัญกำลังใจของประชาชน  ซึ่งต้องการให้ประชาชนตามแนวชายแดนความสบายใจ   และมีความมั่นใจในมาตรการที่รัฐบาลเริ่มดำเนินการอยู่

นายนิกรเดช   กล่าวต่อไปว่า ขวัญ และกำลังใจของประชาชนในตามแนวชายแดนยังมีมาก ซึ่งประชาชนในพื้นที่ทราบดี  ว่าสามารถขอย้ายไปยังพื้นที่ที่มีความปลอดภัยได้   หากมีความจำเป็น   รวมถึงกองกำลังนเรศวรยังมีชุดทหารเดินสายให้ความรู้ และให้ความมั่นใจแก่ประชาชนเพื่อประเมินถึงความเสี่ยงหรือไม่ในพื้นที่ ซึ่งสามารถลดกระแสความกังวลของประชาชนได้มาก

นายนิกรเดช ย้ำว่า สถานการณ์ปัจจุบันตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานมานั้นพบว่า สถานการณ์ดีขึ้นค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยก็ยังคงติดตามสถานการณ์ และเรายังคงประเมินว่า สถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งอาจเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

“หน่วยงานต่างๆ ของไทยมีแผนที่จะรองรับสถานการณ์ ขอให้ประชาชนในพื้นที่มีความสบายใจ และไว้วางใจได้ว่า หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะดูแลความปลอดภัยของประชาชนเป็นลำดับแรก“ นิกรเดช กล่าว

เมื่อถามว่า ในที่ประชุมได้มีการประเมินหรือไม่ ว่าด่านพรมแดนแม่สอดจะเปิดได้เมื่อไหร่ นายนิกรเดช กล่าวว่า ตอนนี้ขึ้นอยู่กับฝั่งเมียนมา ว่าเจรจากันไปถึงไหน ตนทราบว่าทุกฝ่ายในเมียนมาก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปิดช่องทางการเดินทางเพราะสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2  เป็นช่องทางการค้าชายแดนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง ดังนั้น ที่ปิดก็เพราะมีความเสี่ยง และทางเจ้าหน้าที่ฝั่งเมียนมาไม่สามารถมาปฎิบัติหน้าที่ได้ ตนเชื่อว่าสะพานน่าจะเปิดได้ในเร็วๆ นี้ เมื่อวานนี้นายปานปรีย์ ก็ได้หารือกับสภาหอการค้าและภาคเอกชน ทุกฝ่ายก็มีความประสงค์เดียวกันว่าอยากจะให้การค้าชายแดนกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

เมื่อถามว่าการไทยจะเป็นตัวกลางในการประสานตามที่นายปานปรีย์ได้ให้สัมภาษณ์ ทางกระทรวงได้ดำเนินการถึงขั้นตอนไหน และกรอบเวลา สถานที่จะเป็นอย่างไร นายนิกรเดช กล่าวว่า ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมา และสมาชิกของอาเซียน รวมถึงเป็นประเทศที่มีความสนิทสนมกับประเทศลาว ที่เป็นประธานอาเซียน เราได้สนับสนุนในทุกข้อริเริ่ม ซึ่งไทยได้เสนอให้มีการประชุมอาเซียนทอยก้า และอาเซียนทอยก้าพลัส    เพื่อหาสันติภาพในเมียนมา โดยได้ส่งไปทุกประเทศแล้ว    โดยเฉพาะลาว ซึ่งเป็นประธานอาเซียน  ส่วนเกิดที่ไหนยังไม่มีข้อสรุป แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดที่ประเทศไทยก็ได้ หากมีการนัดจะรีบแจ้งให้ทราบ  พร้อมย้ำว่าไทยพร้อมเป็น 1 ในผู้ที่จะทำให้เกิดการพูดจาในเมียนมา   เบื้องต้นยังไม่ได้รับการติดต่อทั้งจากฝ่ายรัฐบาลเมียนมาและกลุ่มต่อต้าน

นายนิกรเดช ย้ำว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเมียนมากระทบทุกคน โดยเฉพาะประเทศไทย ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกัน

“ไม่ใช่แต่เฉพาะกับเรื่องเมียนมา แต่ไทยเป็น Advocate for Peace ดังนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติมาก เมื่อเรื่องเกิดขึ้นประชิดชายแดนเพื่อนบ้านเรา เราย้ำจุดยืนการเป็น Active promoter of peace การเป็นประเทศผู้ต้องการนำสันติสุขมาสู่ความขัดแย้ง สะท้อนออกมาในการที่ประเทศไทยแสดงความพร้อมตามที่ทุกท่านทราบ เป็นหนึ่งในคนที่เข้าไปช่วยให้เกิดการพูดจาระหว่างฝ่ายต่างๆ ในเมียนมา หากฝ่ายเมียนมาเห็นว่าเรามีความพร้อมก็จะไปช่วย” นายนิกรเดช กล่าว

ส่วนกรณีที่ทหารเมียนมากำลังปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่จังหวัดเมียวดี นายนิกรเดช ระบุว่า ทางการไทยติดตามข่าวตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะพื้นที่ชายแดนและกรุงเทพฯ เรามีสถานทูตและประชาคม ดังนั้น เรามีการติดตามข้อมูลอยู่ตลอดเวลาว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไร ซึ่งสถานการณ์ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

“ผมย้ำอยู่เสมอว่าเราติดตามกันรายชั่วโมง รายวัน มีความเคลื่อนไหวของฝ่ายกองทัพเมียนมา ขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวในฝ่ายต่อต้านด้วย ผมจึงขอไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนได้เพราะตัวผมเองก็ได้รับรายงานที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา” นายนิกรเดช กล่าว

นายนิกรเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า ในส่วนของฝ่ายไทย ยังไม่ได้รับการติดต่อเพื่อให้เข้ามาดำเนินการเป็นตัวกลาง แต่จะมีการเริ่มเจรจากันภายในกลุ่มของเมียนมา.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จภายในเที่ยงคืนนี้

ประจวบคีรีขันธ์ 9 ส.ค. – รฟท.เร่งกู้รถไฟตกรางที่กุยบุรี คาดเสร็จสิ้นภายในเที่ยงคืนนี้ ด้าน พฐ.ร่วมตรวจหาสาเหตุตกรางกับนายช่างรถไฟ สันนิษฐานเบื้องต้นนอตล็อกประแจสับรางหลุด ส่วนผู้บาดเจ็บ 10 ราย ออกจาก รพ.แล้ว ความคืบหน้าเหตุรถไฟขบวนด่วนพิเศษ สุไหงโก-ลก ปาดังเบซาร์ ปลายทางสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ประสบอุบัติเหตุตกราง ก่อนถึงสถานีรถไฟกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 100 เมตร เหตุเกิดเมื่อช่วงตี 5 วันนี้ โดยตู้โดยสารที่เกิดเหตุคือ 3 ตู้สุดท้าย 10-12 ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 10 คน นำส่งโรงพยาบาลกุยบุรี ผู้โดยสารตู้ที่ตกราง เจ้าหน้าที่จัดรถบัสนำส่งต่อไปยังจุดหมายปลายทาง ส่วนตู้โดยสารที่ไม่ตกราง เดินทางต่อจนถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ล่าสุดตำรวจ สภ.กุยบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่ตรวจหาสาเหตุรถไฟตกราง ร่วมกับนายช่างวิศวกรของการรถไฟฯ อีกครั้ง จากการตรวจสอบสันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากนอตยึดอุปกรณ์ประแจตัวสับรางหลุด ขณะที่ขบวนรถไฟวิ่งผ่านไปแล้ว 9 ตู้ เหลือ 3 ตู้สุดท้าย ทำให้ไม่สามารถบังคับให้วิ่งตามไปด้วยกันได้ จึงถูกกระชากหลุดด้วยแรงเฉื่อยของความเร็วรถไฟแล้วตกจากราง หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ […]

“บุ๋ม” รับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ หลวงพ่อวราห์ แจกทหารชายแดน

9 ส.ค. – “บุ๋ม ปนัดดา” เริ่มภารกิจโฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. วันแรก เข้ารับผ้ายันต์-เหรียญครุฑ จากหลวงพ่อวราห์ นำไปมอบให้ทหารชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างขวัญกำลังใจแนวหน้า บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี โฆษกจิตอาสา ศบ.ทก. ที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือบิ๊กเล็ก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่งตั้ง เข้าพบหลวงพ่อวราห์ พระเทพวชิระวิทยานุสิฐ วราห์ ปุญฺญวโร ตำนานผู้สร้างพญาครุฑ เพื่อรับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ ไปแจกให้ทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจทหารแนวหน้า บุ๋ม ปนัดดา กล่าวว่า ได้รับการประสานจากหลวงพ่อวราห์ ให้เข้ามารับผ้ายันต์และเหรียญครุฑ นำไปมอบให้กับทหารชายแดน เพราะทหารต้องการขวัญและกำลังใจ ดังนั้น อะไรที่ทำให้ทหารอุ่นใจและมีกำลังใจก็จะทำให้ สำหรับผ้ายันต์หลวงพ่อวราห์ แห่งวัดโพธิ์ทอง บางมด กรุงเทพฯ ผ้ายันต์รุ่นบูชาครู จำนวน 2,000 ผืน และเหรียญครุฑ รุ่นเฉพาะกิจ จำนวน 2,000 เหรียญ ที่บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี […]

“มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่เสียหาย จ.สุรินทร์

สุรินทร์ 9 ส.ค.- “มาริษ” เผยเห็นภาพชัดขึ้น หลังลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ สำรวจความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา เตรียมใช้เป็นข้อชี้แจงนานาชาติ กัมพูชาใช้อาวุธระยะไกลโจมตีพื้นที่พลเรือน ยันพร้อมประสานให้ ICRC – UN มาดูพื้นที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการลงพื้นที่สำรวจความเสียหายที่จังหวัดสุรินทร์ จากเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา ว่า เรื่องข้อมูลของการละเมิดสิทธิ และละเมิดกฎสหประชาชาติกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา เรามีข้อมูลครบถ้วนอยู่แล้ว เมื่อวันนี้ได้มาเห็นสภาพจริง และมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติม ได้เห็นภาพนอกเหนือจากข้อมูล ก็เป็นภาพที่เห็นชัดเจน รวมถึงการบรรยายสรุปของผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ที่อธิบายให้เห็นการโจมตีเป้าหมายที่ห่างไกลออกจากเขตแดน ซึ่งตนเองใช้เป็นข้อชี้แจงกับนานาชาติ และองค์กรสหประชาชาติว่าการใช้ประเภทอาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชาจะทำให้เกิดปัญหา และจะทำให้ประชาชนพลเรือนได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเป็นการโจมตีเป้าหมายไปยังพลเรือน แต่ยังไม่สามารถเข้าไปดูพื้นที่กับระเบิด และวันนี้ทราบว่ามีทหารเหยียบกับระเบิดที่วางอยู่ตามแนวชายแดน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง และแสดงความผิดหวัง และไม่ปราถนาที่จะเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงการเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกันให้สำเร็จอย่างยั่งยืน ส่วนนี้เราจะแสดงจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้อาวุธ หรือทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน นายมาริษ กล่าวว่าการเดินทางมาครั้งนี้ ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในสิ่งที่เราเรียกร้องมาโดยตลอด ว่าเราทำตนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และได้แสดงตนให้ประชาคมโลก […]

ทบ.ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิด สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน

กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – โฆษก ทบ. ชี้เหตุกำลังพล ร้อย.ร.111 เหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนเส้นทาง พื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ บาดเจ็บ 3 นาย สะท้อนกัมพูชาเริ่มใช้อาวุธก่อน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า วันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กรณีกำลังพลของหน่วยกองร้อยทหารราบที่ 111 เหยียบกับระเบิด ขณะทำการลาดตระเวนเส้นทาง เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์-บ้านกฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1. จ่าสิบเอก ธานี พาหา ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ป้องกัน บาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด2. พลทหาร ภาคภูมิ ไชยสุระ ตำแหน่งพลปืนเล็ก บาดเจ็บบริเวณแขนและด้านหลัง3. พลทหาร ธนันชัย ไกรวงค์ […]