ศรีนครินทร์ 6 เม.ย. – “พิธา” บอกทำงานอยู่กับปัจจุบัน หลังอภิปรายคล้ายทิ้งทวน ระบุเสียดาย 7 เดือนที่ผ่านมา ประเทศเสียโอกาส จ่อขอขยายเวลา-ใช้สิทธิไต่สวน สู้คดียุบพรรค ยกกฎหมายมีหลายมาตรา ต้องดูเจตนารมณ์ หากยุบพรรคต้องใช้ดุลยพินิจ ชี้ยุบพรรคเพื่อทำลายล้างทางการเมืองคือการติดเทอร์โบให้พรรคที่ถูกยุบได้แต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 วันนี้ ถึงการอภิปรายทั่วไปตาม ม.152 ที่ผ่านมา ซึ่งตนเองอภิปายระบุว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการทำงานในสภาฯ รวมถึงมี สส.ในพรรคต่างโพสต์ข้อความในลักษณะเดียวกันว่า ไม่เลย อย่างที่ตนบอกว่าเป็นการทำงานที่อยู่กับปัจจุบัน มาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด วันนั้นเป็นการอภิปรายเกี่ยวกับ ม.152 ที่บอกว่าเสียดาย ประชาชนเสียดายโอกาสของประเทศ ที่จริงๆ แล้วมันสามารถทำอะไรได้เยอะมากกับใน 7 เดือนที่ผ่านมา มีการสะสางข้อเท็จจริงและข้อมูลที่ได้เสนอแนะไปแล้วว่าน่าจะถึงเวลาที่จะต้องปรับ ครม. ตอนนี้ เพื่อจะได้นำคนที่ไม่มีประสิทธิภาพออก เพื่อให้คนที่มีประสิทธิเข้าไป ยืนยันว่าสมรรถภาพตามความท้าทายของประเทศได้ทัน ไม่ว่าเป็นเรื่องไฟป่าที่ยังไม่หยุด หรือเรื่อง PM 2.5 ที่ยังไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่โตช้าที่สุดในอาเซียน รองจากเมียนมา ตามที่ world bank เพิ่งพูดมา มันก็ต้องปรับทั้งหมด รวมถึงเรื่องการศึกษาก็เป็นเรื่องสำคัญ
ขณะเดียวกันมีทั้งสิ่งที่เห็นด้วยอย่าง สส.รังสิมันต์ โรม ที่เห็นด้วยกับรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นต้น มันก็ตามเนื้อผ้าตรงไปตรงมาเท่านั้น เพียงแต่ว่าของเราทำงานตามหน้าที่ตรงไปตรงมาอย่างเต็มที่
“อย่างที่หัวหน้าพรรคพูดว่ารายละเอียดมันเยอะ มันคนละมาตรา คนละกฎหมาย เราคงจะต้องดูรายละเอียด และดูว่าเราต้องใช้สิทธิในการขอขยายเวลา และขอสิทธิในการไต่สวน กว่าจะได้ต่อสู้ทางคดีอย่างเหมาะสม เพราะเรื่องนี้โทษหนักกว่าคราวที่แล้วเยอะ คราวที่แล้วมีเอาไว้เพียงแค่ปรามป้องกัน อันนั้นเรายังมีสิทธิได้แต่สวนเลย แต่คราวนี้มันถึงกระทั่งยุบพรรค ประหารชีวิตการเมืองทั้งหลาย มันก็ควรจะให้สิทธิในการขยายในรายละเอียดและให้ต้องสู้อย่างเต็มที่ มันจะได้หมดข้อครหา แล้วเมื่อดูในรายละเอียดหากหัวหน้าเห็นด้วย คงใช้สิทธิในการขยายเวลาและขอสิทธิในการไต่สวน ในการสู้คดีเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน จะมาคิดว่าเหมือนคดีเดิมคงเป็นไปไม่ได้ ” นายพิธากล่าว
เมื่อถามว่าคำวินิจฉัยที่ใช้คำว่าเซาะกร่อนบ่อนทำลายจะเป็นสารตั้งต้นนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ว่า กฎหมายนั้นมีหลายมาตรา ซึ่งจะต้องดูว่าในมาตรานั้นมีเจตนารมณ์อย่างไร หากป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำก็จะมีสัดส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องถึงขั้นประหารทางการเมือง โดยเฉพาะการทำลายพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่กระทบต่อพรรคก้าวไกล แต่จะกระทบต่อระบบประชาธิปไตย ซึ่งฝ่ายค้านก็เป็นส่วนสำคัญ จึงต้องใช้ดุลยพินิจคนละรูปแบบกัน หรือหมายถึงมีคำวินิจฉัยแบบเดิมมา ก็ไม่ได้หมายถึงน้ำหนักของโทษจะต้องเท่ากัน จึงต้องใช้เวลาในการทำคำชี้แจงต่อสู้ทางกฎหมายต่อไป พร้อมยืนยันว่าในส่วนของก้าวไกลไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร หรือไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร แต่คำตอบที่ดีที่สุดคือการทำให้ประชาชนและสมาชิกพรรคมีความมั่นใจ หากว่าจิตใจทุรนทุรายจะไม่สามารถอภิปรายตามมาตรา 152 อย่าง 2 วันที่ผ่านมาได้ ยืนยันว่า สส.ทุกคนอภิปรายยังเต็มที่ ชกสุดหมัด
นายพิธา กล่าวต่อว่า จากการฟังความเห็นของทุกพรรคการเมือง ซึ่งต่างไม่เห็นด้วยกับโทษยุบพรรค จึงฝากสื่อไปถามนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการยุบพรรคเพื่อทำลายล้างทางการเมือง ที่ผ่านมาแล้ว 20 ปีการยุบพรรคการเมือง หากเป็นครั้งนี้ถือว่าครั้งที่ 4-5 แล้ว ต้องดูว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพรรคก้าวไกลพรรคเดียว แต่เป็นเรื่องของระบบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับมาต่อสู้ในระบบ ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ ส่วนตัวไม่รู้ว่าผู้ที่มีอำนาจในการยุบพรรค ได้ถามตัวเองหรือไม่ว่ายุบพรรคไปจะได้อะไร ซึ่งในระยะสั้นอาจจะทำให้พรรคที่ถูกยุบอ่อนแรงลง ทำให้ฝ่ายค้านอันดับหนึ่งอ่อนแอลง แต่ในระยะยาวขณะเดียวกันมันก็เป็นการติดเทอร์โบ ทำให้พรรคที่ถูกยุบได้แต้มต่อทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า.-313-สำนักข่าวไทย