ศาลรัฐธรรมนูญ 25 ธ.ค.-“ชัยธวัช” มั่นใจ เสนอแก้ ม.112 เป็นไปตามขั้นตอน ไม่มีทางนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ ด้าน “พิธา” พอใจแจงศาล ไม่มีเจตนาล้มล้างการปกครอง แต่เป็นการเสนอทางออกวิกฤตการเมือง บอกไม่ได้ทำเป็นพรรคแรก
นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้ารับการไต่สวนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่พรรคก้าวไกลเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 โดยมีการเข้าให้ถ้อยคำนานกว่า 2 ชั่วโมง และหลังจากออกมาปรากฏว่ามีแฟนคลับเข้าไปห้อมล้อมให้กำลังใจจำนวนมาก
นายชัยธวัช กล่าวว่า การไต่สวนเป็นไปด้วยดี มั่นใจว่าตามข้อเท็จจริงตามกฎหมายและเจตนาของเราสามารถชี้ได้ ว่าไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง และก่อนหน้านี้ได้ทำคำชี้แจงในประเด็นสำคัญๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้(25 ธ.ค.) หลักๆ มาตอบคำถามที่ตุลาการซักถามเพิ่มเติม ซึ่งมีคำถามหลากหลาย ซึ่งพูดได้ไม่หมด เพราะระหว่างไต่สวน รอบของนายพิธา กับรอบของตนนั้น ตนไม่ได้อยู่ในห้องด้วย อย่างไรก็ตาม จากนี้ศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 31 มกราคม 2567
ทั้งนี้ หลังศาลไต่สวนยังมีความเชื่อมั่นหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังเชื่อมั่นเหมือนเดิมว่าการเสนอร่างกฎหมาย โดยการใช้กระบวนการนิติบัญญัติ และแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงกฎหมายอาญา หมิ่นประมาท มั่นใจว่า ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้
“การเสนอร่างใดๆ มีกระบวนการของสภาแล้วไม่ว่าจะเป็นวาระที่ 1 วาระที่ 2 วาระที่ 3 ซึ่งต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ ต้องใช้กรรมาธิการในการคัดกรองพิจารณาเนื้อหาซ้ำอีกครั้ง ยังมีกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญก่อนผ่านสภา ก่อนประกาศใช้จะสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น การเสนอกฎหมายไม่มีทางนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้” นายชัยธวัช กล่าว
ด้านนายพิธา กล่าวว่า การไต่สวน ในวันนี้ (25 ธ.ค.) ตนก็ยังมั่นใจว่า กระบวนการราบรื่นดี ส่วนตัวรู้สึกพอใจที่ได้แถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ข้อสงสัย ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทุกสิ่งที่ตั้งใจมาเป็นไปตามความคาดหมาย
“ยังมั่นใจในข้อเท็จจริงหลายๆ เรื่อง ข้อเสนอแก้ไขทางนิติบัญญัติไม่ได้มาจากพรรคเราเป็นพรรคแรก แต่มาจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ดี รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในช่วงปี 2563-2564 ตอนนี้พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นพรรคเดียว ดังนั้น น่าจะยืนยันได้ในเรื่องของเจตนาว่า ไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างการปกครอง”นายพิธา กล่าว
หากผลการตัดสินออกมาเป็นคุณทั้ง 2 คดี นายพิธาจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ยังทำงานกับพรรคก้าวไกล แต่ถ้าออกมาเป็นคุณ ในส่วนของบทบาทพรรคก้าวไกลก็ต้องรอเดือนเมษายน 2567 ที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคก้าวไกล ส่วนตัวไม่ได้ยึดติดอะไร สามารถทำงานการเมืองได้ทุกรูปแบบ ไม่กังวลใจและยังสามารถทำงานต่อได้
เมื่อถามว่าการแก้ไขมาตรา 112 ยังจะสามารถเป็นนโยบายหาเสียงครั้งต่อไปได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า นโยบายเป็นของ สส.ชุดที่แล้ว เป็นเอกสิทธิ์ของ สส.ชุดที่แล้ว ตอนนี้เป็นสส.ชุดใหม่ ซึ่งยังไม่ได้มีการหารือพูดคุยในกันในพรรคว่า ปัจจุบัน อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ก็ยังเป็นข้อพิพาทในศาลรัฐธรรมนูญอยู่
ทั้งนี้ หากศาลวินิจฉัยทิศทางใดทิศทางหนึ่งหรือให้ยุติ ยกเลิกนโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อจุดยืนการทำงานของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องรอให้คำพิพากษาของศาลออกมาก่อน เป็นเรื่องของสส.แต่ละคน ดูสถานการณ์บริบทของบ้านเมืองซึ่งแตกต่างกันไป
“ตอนที่เรายื่นก็ต้องเข้าใจว่าบริบทการเมืองตอนนั้นมีการใช้ความรุนแรง และมีคดีมาตรา 112 เพิ่มขึ้นจากหลักสิบเป็นหลักร้อยเป็น 268 คดี ในปี 2563 โดยมีเยาวชนกว่า 20 คน ดังนั้นในปี 2564 เราจึงคิดว่า นี่เป็นทางออกของการเมืองตอนนั้น ดังนั้นหลายเรื่อง หลายๆ เวลา ต้องดูว่าสิ่งสำคัญในระบบยุติธรรมคือการได้สัดส่วน เมื่อมีการละเมิดสิทธิ์ก็ต้องทางออกในรัฐสภาที่เรายึดถือ ตอนนี้ก็ต้องแล้วแต่ สส.แต่ละคน และสถานการณ์ ดูองค์ประกอบหลายเรื่อง รวมถึงสถานการณ์ตอนนั้น” นายพิธา กล่าว
เมื่อถามว่าประเมินตัวเองหลังไต่สวนให้กี่คะแนน นายพิธา กล่าวว่า คงไม่ตอบเป็นตัวเลข แต่ก็พอใจ หากย้อนกลับไปได้เท่าที่ตัวเองคิดตอนนี้ ก็คิดว่าไม่มีอะไรอยากจะทำเพิ่ม ทำเต็มที่แล้ว ตอนนี้ต้องรอคำพิพากษา ส่วนผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ปากคำ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ และคณะรัฐศาสตร์ 4-5 คน มาให้ความเห็น ส่วนรายละเอียดให้ความเห็นอย่างไรนั้น ไม่สามารถบอกได้.-314.-สำนักข่าวไทย