รัฐสภา 15 พ.ย.-กมธ.การเงินการคลังฯ มองประเทศอยู่ในภาวะจำเป็นเร่งด่วน GDP ตกต่ำ ที่ออก พ.ร.บ.กู้เงินได้ เล็ง เชิญผู้ว่าฯ ธปท. ให้ข้อมูลเพิ่มเติม
นายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลังฯ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมาธิการ ซึ่งเชิญนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มาชี้แจงถึง โครงการ ดิจิทัลวอลเล็ตว่า กรรมาธิการฯ มีความเป็นห่วงในหลายเรื่อง เพราะมีทั้งผู้ที่คัดค้านและเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออก พ.ร.บ. กู้เงิน หลักเกณฑ์ต่างๆ จะได้ซักถามให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และสามารถดำเนินโครงการนี้ไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะแหล่งที่มาของเงิน และความจำเป็นที่จะต้องออกพ.ร.บ.กู้เงิน
สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลจงใจออกเป็นพ.ร.บ.เพื่อให้ถูกตีตก เพราะไม่สามารถดำเนินนโยบายได้สำเร็จนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า กรรมาธิการ ฯจะมีการสอบถามเรื่องนี้เช่นกัน ว่ารัฐบาลจะหาทางลงหรือไม่ แต่ตนก็เชื่อว่ากว่ารัฐบาลจะคิดโครงการนี้ออกมาได้ ทั้งเรื่องหลักเกณฑ์และแหล่งที่มาของเงิน ก็ต้องผ่านการพิจารณาในข้อกฎหมายมาอย่างดีแล้ว และผ่านตัวเลือกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณและสุดท้ายมาจบที่การออกพ ร.บ.แต่ก็จะสอบถามให้ได้ความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
“ส่วนตัวมองว่าการออกพ.ร.บ.กู้เงิน ทำได้ หากเป็นความจำเป็นเร่งด่วนและรักษาเสถียรภาพการเงินการคลังของประเทศ ก็สามารถที่จะกู้เงินได้ ก็ต้องดูว่าจำเป็นเร่งด่วนขนาดไหน และจะออกเป็นพ.ร.ก. ได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้รับคำตอบในวันนี้”นายณัฐพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในตอนนี้ เพราะอย่างที่เราได้รับทราบจากทางรัฐบาลและสื่อต่างๆ ว่าขณะนี้ GDP ในไตรมาสแรก ลดต่ำลง จาก 2.6% เหลือ 1.8 % และ ไตรมาสที่ 2 เหลือ 1.4 % ดังนั้น GDP ก็ไม่เติบโตตามที่หลายคนตั้งคำถามไว้ว่า GDP ประเทศไทย ในปีนี้จะเติบโตประมาณ 2.6% ซึ่งมองว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเกิน 2% ประกอบกับการที่ประเทศเรากำลังเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ผู้ที่หาเงินได้จะมีน้อยกว่าผู้สูงอายุ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาในภาวะเศรษฐกิจ
“ส่วนตัวจึงมองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและจำเป็น ที่จะต้องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในตอนนี้เพื่อให้เติบโตทันที่จะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆได้ เพราะหากปล่อยไว้เช่นนี้ การออกงบประมาณรายจ่ายประจำปีแบบขาดดุล ทุกปี 6 – 7 แสนล้านบาท เชื่อว่าอีกแค่ 2-3 ปีก็จะมีปัญหาและไม่สามารถทำได้ เสมือนเราเห็นปากเหวอยู่ข้างหน้า เราจะรอให้ตกเหวก่อนแล้วค่อยแก้ไขหรือ เพราะฉะนั้นถามว่าเป็นวิกฤตหรือไม่ส่วนตัวก็มองว่าเป็นวิกฤต” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ ยืนยัน ไม่ได้ช่วยหรืออวยรัฐบาลผลักดันให้โครงการเดินหน้า แต่กรรมาธิการมีหน้าที่ตรวจสอบศึกษาและหาข้อเท็จจริง โดยเฉพาะในเรื่องนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาลอยู่แล้ว และในกรรมาธิการก็ประกอบด้วยส.สจากทุกพรรคการเมืองที่เข้ามามีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปอวยกัน แม้ตนจะเป็นส.สพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่การทำหน้าที่กรรมาธิการฯก็อยากจะเห็นนโยบายของรัฐบาลสำเร็จและเกิดประสิทธิผลมากที่สุดหากมีอะไรที่ท้วงติงกันได้หรือแนะนำกันได้ ก็เป็นหน้าที่ของกรรมาธิการฯที่เราจะต้องทวงจริงหรือแนะนำรัฐบาลเพื่อให้เกิดการแก้ไข
พร้อมยืนยันตั้งใจที่จะเชิญฝ่ายที่คัดค้านการออกพ.ร.บ.มาด้วย แต่ก็ต้องได้รับฟัง คนที่ทำนโยบายนี้ก่อน จึงจะไปฟังคนที่คัดค้านได้ เพื่อที่จะเป็นข้อเสนอแนะให้กับทางรัฐบาลอีกที ส่วนจะถามนายจุลพันธ์ กรณีที่นายกรัฐมนตรีอ้างว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้เสนอให้ออกพ.ร.บ.กู้เงิน ด้วยหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ก็คงสอบถามได้ และอาจจะเชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาให้ข้อมูลด้วย เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ดูแลในเรื่องเสถียรภาพทางการเงินของประเทศอยู่แล้ว และมีข้อเป็นห่วงเป็นใยและคัดค้านในหลายเรื่องซึ่งกรรมาธิการก็จะนำเข้ามาสู่การพิจารณาด้วย.-สำนักข่าวไทย