ทำเนียบรัฐบาล 3 ต.ค.- นายกฯ ตั้งเป้าบริหารจัดการน้ำท่วม-แล้ง แบบสมดุล ดูแลทั้งภาคเกษตร-อุตสาหกรรม ไม่ให้เกิดผลกระทบ ชี้ทุกหน่วยต้องบูรณาการ พร้อมจับมือเอกชนสร้างความรู้ความเข้าใจ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าถึงสถานการณ์น้ำท่วมในขณะนี้ว่า ได้มีการสั่งการให้รัฐมนตรีทุกคนใส่ใจเป็นพิเศษ และกำชับ สส.ที่อยู่ในการควบคุมดูแลลงพื้นที่ให้มาก ซึ่งเราต้องดูแลคนที่เดือดร้อนทันที รวมถึงการเยียวยาพื้นที่เพาะปลูกที่จะมีการสูญเสียจะต้องมีการชดใช้ ส่วนเรื่องการผันน้ำวันนี้จะมีการคุยต่อเพื่อดูถึงการระบายน้ำของแต่ละพื้นที่
“เราทำงานลักษณะไม่อยากให้เป็นลักษณะวัวหายล้อมคอก ฉะนั้นในวันศุกร์ที่ 6 ต.ค.นี้ ผมจะเดินทางลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเห็นจากพื้นที่เรียลไทม์ของกรมชลประทานแล้ว ตรงนี้มีความกังวลเพราะมีพื้นที่น้ำล้นเอ่อเกินจุดที่สบายใจ โดยผมจะลงไปสั่งการและบอกเจ้าหน้าที่ไปแล้ว ให้เตรียมแผนงานไว้ด้วย เพราะปีที่ผ่านมา จ.อุบลราชธานีรู้สึก ว่าน้ำท่วมมากและนานมากด้วย หากท่วมแป๊บเดียวพืชผลอาจจะไม่เสียหายมาก แต่ท่วมนานจะเสียหายมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีทุกท่านให้ความกังวล ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ได้มีการรายงานและคงจะมีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับแผนระยะยาวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า มีเป็นแผนการบูรณาการแก้ไขปัญหาทั้งน้ำท่วมน้ำแล้ง ซึ่งต้องขอเวลาเตรียมงาน
ส่วนที่มีความเป็นห่วงพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องของน้ำมี 4 ข้อ ที่ต้องกังวล
- น้ำอุปโภคบริโภค ตรงนี้ไม่น่าเป็นห่วงเพราะมีพออยู่แล้ว
- น้ำรักษาระบบนิเวศน์ซึ่งมีการบริหารจัดการอยู่
- ที่ห่วงมากคือน้ำเพื่อการเกษตรกรรม และตอนนี้เป็นเรื่องของน้ำท่วมและอีก 6 เดือนจะเป็นเรื่องของแล้ง ตรงนี้ต้องบริหารจัดการอย่างพอเหมาะ การระบายน้ำหากระบายมากเกินไปเก็บในเขื่อนน้อยเกินไปก็จะเกิดปัญหาแล้ง หากใช้จังหวะที่ฝนตกเยอะระบายน้ำไปเก็บไว้ในพื้นที่เหมาะสมควรจะเก็บจะมีประโยชน์
- ที่คนพูดถึงน้อยเป็นน้ำที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมใหม่ๆไฮเทคที่จะเข้ามามีความต้องการน้ำเยอะมาก ซึ่งปัจจุบันเรายังเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐาน ความจำเป็นใช้นำยังมีอยู่ ซึ่งจะต้องต้องป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำในอนาคต โดยทำงานเชิงรุก ต้องดูแลภาคอุตสาหกรรมจะต้องไม่มีการขาดแคลนน้ำ ถ้าตรงนี้สามารถบริหารจัดการได้ดี เชื่อว่าจะเป็นการดึงดูดใจให้นักลงทุนจากต่างประเทศที่จะมาลงทุนในแง่ของไฮเทคที่จะยกระดับภาคอุตสาหกรรมประเทศไทย ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำภาคอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่จะปล่อยปะละเลยไม่ได้
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ได้มีการคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน มีการให้ความรู้กับภาคเอกชน โดยนำนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ซีอีโอ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความรู้ในภาคอุตสาหกรรมมาให้คำแนะนำและมีการพูดคุยกัน ว่าต้องทำอย่างไรบ้างต้องการน้ำที่ไหนเท่าไหร่ อย่างไร และหลังจากนี้จะมีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง มอนิเตอร์กันอย่างใกล้ชิด .-สำนักข่าวไทย