รัฐสภา 3 ส.ค. – “นพดล” ป้อง “เศรษฐา” ชี้เป็นแค่ผู้จะซื้อ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโอนภาษี ลั่นหากสงสัยสามารถตรวจสอบได้ที่กรมสรรพากร ไม่กังวลกระทบโหวตนายกฯ ยัน “ทักษิณ” ยังไม่เลื่อนกลับบ้าน โยนถาม “แพทองธาร” คนที่จะตอบได้ดีที่สุด
นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวพาดพิงนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ว่ามีเอี่ยวนิติกรรมอำพราง เลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินย่านสารสิน ว่า นายเศรษฐา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ละเมิดกฎหมายใด และไม่ได้ฝ่าฝืนจริยธรรมใดๆ ซึ่งข้อกล่าวหาที่นายชูวิทย์ พูดวันนี้ (3 ส.ค.) เป็นข้อกล่าวหาที่อาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เนื่องจากนายเศรษฐา ไม่ได้เป็นตัวการ ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุน ไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการเลี่ยงภาษีใดๆ
เมื่อถามว่า ในฐานะที่ขณะนั้น นายเศรษฐา คือผู้บริหารบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะปฏิเสธได้หรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า ปฏิเสธได้ เพราะนายเศรษฐาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงภาษี และตนเข้าใจว่า การซื้อขายที่ดินนั้น ระหว่างบริษัท แสนสิริฯ กับผู้จะขาย หน้าที่ในการชำระภาษี อยู่ที่ผู้จะขาย ฉะนั้น ผู้ที่จะขายต้องชำระภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย และเราไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้จะขายได้เลี่ยงภาษี หากใครสงสัยว่าผู้จะขายเลี่ยงภาษี สามารถตรวจสอบที่กรมสรรพากรได้
นายนพดล กล่าวอีกว่า ส่วนความเกี่ยวข้องของนายเศรษฐา บริษัท แสนสิริฯ เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีธรรมาภิบาล และการซื้อขายทรัพย์สินของนายเศรษฐา ต้องทำตามกฎหมาย ซึ่งภารกิจของซีอีโอเกี่ยวข้องแค่อนุมัติจำนวนเงินและโครงการเท่านั้น ไม่ได้รู้เห็นในการชำระภาษี และย้ำว่า หากใครสงสัยเรื่องการชำระภาษี สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งบริษัท แสนสิริฯ เป็นผู้จะซื้อ โดยผู้จะขายเป็นผู้ที่ต้องชำระภาษี และเราไม่มีข้อสงสัยว่าผู้จะขายเลี่ยงภาษี
เมื่อถามว่า มองการออกมาเปิดเผยข้อมูลของนายชูวิทย์ ในขณะที่กำลังจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี อย่างไรบ้าง นายนพดล กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้ ซึ่งมีคนตั้งคำถามว่ามีเจตนาทางการเมืองหรือไม่ ในการที่จะดิสเครดิต หรือลดทอนความน่าเชื่อถือของนายเศรษฐาหรือไม่ จึงอยากเรียนว่า นายเศรษฐาเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้ไปสมรู้ร่วมคิด และไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนในการเลี่ยงภาษีใดๆ ต้องทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยกังวลหรือไม่ ที่การเปิดข้อมูลในครั้งนี้อาจจะกระทบต่อการยกมือโหวตนายกรัฐมนตรี นายนพดล กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะตนได้รับข้อมูลทั้งหลายมาแล้ว และได้ตรวจสอบกับทีมนายเศรษฐาแล้ว และเชื่อว่าไม่ได้มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล คิดว่าสมาชิกรัฐสภา หากจะโหวตใคร หรือเห็นชอบใครเป็นนายกรัฐมนตรี คงจะดูข้อเท็จจริงมากกว่าข้อกล่าวหาที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทางการเมือง
เมื่อถามว่า หากมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องทางการเมือง จะมีการดำเนินการอย่างไรกับนายชูวิทย์ นายนพดล กล่าวว่า ต้องรอดู ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่ประสงค์ที่จะค้าความ เพราะเราอาสามาทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง อยากจะเสนอนายเศรษฐาเพื่อขอความเห็นชอบและตั้งรัฐบาล เพื่อมาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผลักดันนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงไว้อย่างเร็วที่สุด คงไม่ค้าความหรือไปฟ้องร้องนายชูวิทย์ แต่ต้องดูว่า นายชูวิทย์มีข้อมูลอะไรที่จะมาเพิ่มเติม กระทบกับสิทธิหรือไม่ หากกระทบสิทธิค่อยว่ากัน
เมื่อถามว่า พื้นที่ที่มีปัญหาคือพื้นที่ในส่วนใด นายนพดล กล่าวว่า เป็นพื้นที่กลางเมืองที่นายชูวิทย์พูดถึง แต่การซื้อขายที่ดินของแสนสิริ เป็นการซื้อกับบุคคล ซึ่งบุคคลเป็นทายาทที่ไปรับแบ่งจากบริษัท แต่เขาจะแบ่งอย่างไร เป็นขั้นตอนของผู้จะขาย รวมทั้งการชำระภาษีก็เป็นหน้าที่ของผู้จะขาย ที่คลาดเคลื่อนคือการถูกกล่าวหาค่อนข้างแรง คือการกล่าวหาว่านายเศรษฐาคือตัวการในการเลี่ยงภาษี ซึ่งแย่กว่าการบอกว่าเป็นผู้สนับสนุน ซึ่งแสนสิริไม่ได้มีประโยชน์หรือเสียประโยชน์ จะไปเลี่ยงภาษีให้กับผู้จะขาย
เมื่อถามถึงกรณีการเลื่อนโหวตนายกรัฐมนตรีจะกระทบต่อการกลับประเทศไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังไม่มีข้อมูลว่านายทักษิณจะเลื่อนการเดินทาง ต้องรอตรวจสอบข้อมูล ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีฐานะที่จะฟันธงได้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด คนที่ถามได้ดีที่สุด คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ ในทางกฎหมาย นายทักษิณ สามารถเดินทางกลับมาได้ก่อนหรือหลังจัดตั้งรัฐบาล โดยต้องเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ และเข้าสู่กระบวนการปกติ ซึ่งถือเป็นสิทธิของนายทักษิณที่จะเดินทางกลับมา และพรรคเพื่อไทยไม่ต้องดำเนินการใดๆ เป็นพิเศษ เช่น การเสนอกฎหมายใดๆ นั้นไม่ต้อง. – สำนักข่าวไทย