จ.กำแพงเพชร 29 พ.ค.-“พล.อ.ประวิตร” ตามความก้าวหน้างานพัฒนาแหล่งน้ำที่กำแพงเพชร กำชับเตรียบมรับมือฤดูฝน -ฝนทิ้งช่วงทั่วประเทศ ย้ำยึดหลักอนุรักษ์ – ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืนแก้ปัญหาที่ทำกิน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะลงพื้นที่ จ.กำแพงเพชร ตรวจความคืบหน้าการขยายแหล่งน้ำ โดยไปตรวจติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำแก้มลิงดงขวัญ ต.หนองปลิง อ.เมือง เพื่อติดตามความคืบหน้าการพัฒนาแหล่งน้ำแก้มลิงดงขวัญ สำหรับการพึ่งพาตนเองรองรับพื้นที่รับประโยชน์ 1,600 ไร่ ต่อจากนั้น ได้เดินทางไปรร.พรานกระต่ายพิทยาคม ต.ถ้ำกระต่ายทอง อ.พรานกระต่าย เพื่อรับฟังความคืบหน้า การแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งได้มอบสมุดประจำตัวให้กับผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาล ในลักษณะแปลงรวมพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเขาเขียว ป่าเขาสว่างและป่าคลองห้วยทราย”
พล.อ.ประวิตร รับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ พร้อมกล่าวพอใจความคืบหน้าการขับเคลื่อนบริหารจัดการน้ำและการแก้ปัญหาที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นฐานรากการแก้ปัญหาน้ำที่มีพัฒนาการไปมากในภาพรวม ขณะเดียวกันได้กำชับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) กระทรวงมหาดไทยและกรมชลประทาน รวมทั้งส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้รับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยผนวกเป็นข้อมูล จัดทำแผนพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะหลายพื้นที่ ยังขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร ต้องการแหล่งน้ำ จึงต้องมีแผนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เป็นแหล่งน้ำสำรอง เพื่อจัดสรรกระจายการใช้น้ำอย่างทั่วถึงและลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำ ดังเช่น โครงการแก้มลิงหนองดงขวัญ ที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 1,600 ไร่
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ปัจจุบัน กำลังเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปฏิบัติ 12 มาตรการรับมือฤดูฝนไปพร้อมกัน โดยให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากบทเรียนแต่ละพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งที่จ.กำแพงเพชร ยังมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและประสบอุทกภัยสองฝั่งแม่น้ำปิงที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อลดความเสียหายและความเดือดร้อนของประชาชนแบบมีส่วนร่วมไปพร้อมกัน สำหรับการแก้ปัญหาที่ดินทำกินและความเหลื่อมล้ำการถือครองที่ดิน
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) เดินหน้ากระจายถือครองที่ดิน โดยคำนึงความสมดุล ระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของการบริหารจัดการที่ดินที่เป็นรูปธรรมทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะเดียวกันขอให้องค์กรปกครองท้องถิ่น(อปท.) ตามเข้าไปเสริมความแข็งแกร่งด้านพัฒนาอาชีพและสาธารณูปโภคพื้นฐานทุกมิติไปพร้อมกัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนใหม่ให้เข้มแข็งและยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง.-สำนักข่าวไทย